'นายกรัฐมนตรี' ร่ำไห้ ยัน ไม่ท้อ เพราะมีกำลังใจจากปชช. ยก 'นครสวรรค์' เป็นตัวอย่างจังหวัดอื่น ร่วมต่อสู้กับน้ำท่วม เร่งเดินหน้าฟื้นฟูให้กลับสู่ภาวะปกติ ยันต้องแล้วเสร็จภายใน 45 วัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.30 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย น.ส.ฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกฯ และนายวิบูลย์ สงวนพงษ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
ได้เดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์รุ่นแบล็คฮอร์ค ถึงสนามบินเกษตร จ.นครสวรรค์ เพื่อเดินทางโดยขบวนรถยนต์ต่อไปยังศาลากลางจังหวัดนครสวรรค์ เพื่อรับฟังบรรยายสรุปภายหลังสถานการณ์อุทกภัยใน จ.นครสวรรค์ เริ่มคลี่คลายลง จากนายชัยโรจน์ มีแดง ผู้ว่าฯนครสวรรค์ พร้อมทั้งเยี่ยมชมการจัดกิจกรรม “บำบัดทุกข์ บำรุง ราษฎร์-รัฐรวมใจ เพื่อผู้ประสบภัยน้ำท่วม จ.นครสวรรค์” โดยมีประชาชนจำนวนมากมาให้การต้อนรับ
นายชัยโรจน์ กล่าวรายงานว่า การเยียวยาฟื้นฟูหลังน้ำลดนั้น ทางจังหวัดได้มีการมอบเงินให้ผู้ประสบอุทกภัย ครอบครัวละ 5,000 บาท ไปแล้ว 34,125 ครัวเรือน เป็นเงิน 170 ล้านบาทเศษ ขณะที่พืชผลการเกษตร ที่คาดว่าจะเสียหาย 903,400 ไร่ จ่ายค่าชดเชยให้กับเกษตรกรไปแล้ว 150,545 ไร่ เป็นเงิน 372 ล้านบาทเศษ ส่วนที่เหลือ 1,450 ล้านบาทเศษ ทางจังหวัดจะสามารถจ่ายได้ภายในวันที่ 15 พ.ย.นี้ ส่วนการซ่อมแซมบ้านเรือนที่เสียหายทั้งหลัง หรือบางส่วนนั้น จะมอบให้รายละไม่เกิน 30,000 บาท คาดว่าจะสามารถจ่ายแล้วเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายนนี้
นายชัยโรจน์ กล่าวต่อว่า สำหรับการฟื้นฟูด้านสังคมและคุณภาพชีวิต ทางจังหวัดจะทำความสะอาดเมือง และซ่อมแซมที่อยู่อาศัยให้แล้วเสร็จ ภายใน 30 วัน ด้านการกระตุ้นเศรษฐกิจและฟื้นฟูอุตสาหกรรม จะเน้นการประกอบอาชีพและรายได้ โดยภาคเกษตรจะเริ่มฤดูการเพาะปลูก ช่วงเดือนพฤศจิกายน อำเภอละ 100,000 ไร่ จำนวน 15 อำเภอ ส่วนการประกอบอาชีพนอกภาคเกษตร เช่น อุตสาหกรรม การค้า การท่องเที่ยว สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ ภายใน 45 วัน ขณะที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ซ่อมแซม ปรับปรุงถนน สะพาน แหล่งน้ำ โรงเรียน วัด และสถานที่ราชการ คาดว่าจะใช้เวลาในการปรับปรุงไม่เกิน 15 วัน
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้รับมอบสิ่งของจากผู้มีจิตศรัทธา ร่วมบริจาคตามแผนฟื้นฟูช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยหลังน้ำลด อีกทั้งนายกรัฐมนตรียังได้มอบเมล็ดพันธุ์พืชแก่ตัวแทนเกษตรกร และมอบเงินช่วยเหลือครัวเรือนที่ประสบภัยน้ำท่วม จำนวน 36,498 ครัวเรือน คิดเป็นเงิน 182 ล้านบาทเศษ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายกรัฐมนตรีได้ทักทายประชาชนที่มาร่วมกิจกรรม และร่วมประกอบอาหารกลางวัน คือ ผัดกระเพราหมูสับ และแจกจ่ายให้กับประชาชนที่มารอต้อนรับด้วย
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวพร้อมน้ำตาคลอว่า 2 เดือนหลังจากรับตำแหน่ง มีประชาชนประสบอุทกภัยจำนวนมาก ทำให้รู้สึกห่วงใย เมื่อรู้ว่าทุกอย่างจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ก็รู้สึกดี และต้องการให้กำลังใจทุกคน สิ่งที่ผ่านมา 2 เดือน ทำให้เราต้องอดทน เข้มแข็ง ต่อสู้กับมหาอุทกภัยครั้งนี้ และที่จังหวัดนครสวรรค์ ได้แสดงให้เห็นถึงความรัก ความสามัคคีของประชาชน ที่ร่วมกันต่อสู้ มีธารน้ำใจจากทุกภาคส่วนมาช่วยเหลือ ยังมีอีกหลายจังหวัดที่น้ำท่วม และต้องร่วมกันต่อสู้ จ.นครสวรรค์เป็นต้นแบบของความอดทน ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องฟื้นฟูจิตใจ ด้วยการทำความสะอาด และให้ความช่วยเหลือหลังน้ำลด เพราะนอกจากจะฟื้นฟูจิตใจแล้ว ยังเป็นการฟื้นความเชื่อมั่นของคนไทยและชาวต่างชาติ ที่กำลังจับตาดูการต่อสู้ปัญหาของคนไทย
“การฟื้นฟูดูแลให้ความช่วยเหลือ จะต้องทำให้เรียบร้อยภายใน 45 วัน เพราะประชาชนทนทุกข์มานาน ยืนยันว่า ดิฉันไม่เคยท้อถอย เพราะรู้ว่าทุกครั้งที่ท้อถอย ก็มีกำลังใจจากประชาชน ขอให้ชาวนครสวรรค์เป็นตัวอย่างของจังหวัดอื่นๆ ให้รู้ถึงความเข้มแข็งว่า เราจะฟื้นฟู และเดินหน้าทำให้ทุกอย่างเป็นปกติเหมือนเดิม ด้วยความสามัคคี และทำให้ประเทศเดินหน้าต่อไป วันนี้เราผ่านโรคร้ายมาแล้ว ถือเป็นวันดีที่จะทำให้ จ.นครสวรรค์ กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว” นายกรัฐมนตรี ด้วยน้ำตาคลอหน้า
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมการเปิดศูนย์ซ่อมสร้าง ซ่อมแซมรถ และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ถูกน้ำท่วม ของนักเรียนอาชีวะในจังหวัดนครสวรรค์ ก่อนเดินทางต่อไปยังชุมชนวัดพรหมจริยาวาส ซึ่งมีบ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2554 ซึ่งขณะนั้นโดยเฉลี่ยน้ำท่วมสูง 3 เมตร บางจุดสูงถึง 4 เมตร และเปิดศูนย์ซ่อมแซมบ้านเรือนให้กับราษฎร โดยนายกรัฐมนตรีได้ร่วมทาสีบ้าน ของ น.ส.ณัฐนันท์ ศิริวรรณ และนางทัศนีย์ ศิริวรรณ ซึ่งอยู่บริเวณชุมชนวัดพรหมจริยาวาส และได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม จากนั้น นั่งรถตรวจความเสียหาย และการฟื้นฟูหลังน้ำลด ภายในตัวเมืองนครสวรรค์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายกรัฐมนตรีและคณะนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปยังจังหวัดนครสวรรค์ นายกรัฐมนตรี ยังได้บินวนดูการทำแนวคันกั้นน้ำ ด้วยการใช้บิ๊กแบ็ก ที่บริเวณหลักหก อำเภอเมือง จ.ปทุมธานี และถนนโรคัลโรด ซึ่งดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว คาดว่าหลังจากนี้จะเร่งระบายน้ำภายใน 1 - 2 สัปดาห์ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในเขตดอนเมือง สายไหม และหลักสี่ จ.กรุงเทพมหานคร ได้ดีมากยิ่งขึ้น
จากนั้นเวลา 13.15 น. นายกรัฐมนตรีและคณะได้เดินทางกลับมาถึงยังกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2) สนามเป้า กรุงเทพมหานคร โดยนายกรัฐมนตรีปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์กับคณะสื่อมวลชนที่ไปรอทำข่าว เพียงแต่หันมาโบกมือให้กับสื่อมวลชน จากนั้นจึงเดินขึ้นรถยนต์ส่วนตัวออกไปทันที อย่างไรก็ตามจากการสอบถามคนใกล้ชิดนายกรัฐมนตรี ว่า นายกฯจะเดินทางกลับมายังศูนย์ฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) อาคารเอนเนอร์ยี่ คอมแพล็กซ์ กระทรวงพลังงาน อีกหรือไม่ ซึ่งคนใกล้ชิดนายกฯกล่าวว่า นายกฯขอออกไปรับประทานอาหาร และจะไม่กลับเข้าไปที่ศปภ.อีกแล้ว