'ชูวิทย์' เหน็บรัฐ 'เอาปัญญาชนกรอกถุงทราย เอาปัญญาควายบริหาร' แก้ปัญหาน้ำท่วมเละ ฉะยับ จับ ปชช. เป็นตัวประกัน ชูภาพทางการเมือง
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย กล่าวว่า ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ประธานสภาฯสั่งงดการประชุมสภาฯ เขาได้ลงพื้นที่ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมในหลายจังหวัด อาทิ นครสวรรค์ ชัยนาท ลพบุรี อยุธยา สุพรรณบุรี ปทุมธานี นนทบุรี ส่วน จ.สิงห์บุรี เข้าไปไม่ได้ เพราะน้ำท่วมสูงไม่มีเรือเข้า ทั้งนี้ พบว่า ที่จ.สุพรรณบุรี น้ำท่วมน้อยที่สุดสภาพน้ำเป็นปกติทุกอย่าง คือ ท่วมแค่บางอำเภอที่เป็นรอยต่อกับจังหวัดอื่นๆ
“ประชาชนต่างมองได้สองมุม มุมหนึ่งผู้คนชื่นชมว่า คนที่ดูแล จ.สุพรรณบุรีดูแลการจัดการบริหารน้ำได้เป็นอย่างดี อีกมุมหนึ่งเป็นเสียงสะท้อนจากประชาชนจังหวัดข้างเคียง ที่ต่างก็ฝากค่อนขอด สะท้อนมาว่า คิดถึงแต่ตัวเอง ไม่ให้ความร่วมมือกับจังหวัดข้างๆ น้ำท่วมเหมือนกันแต่เดือดร้อนไม่เท่ากัน วันนี้ ต้องยอมรับว่า สถานการณ์น้ำท่วมถูกโยงไปกับการเมืองเรียบร้อยแล้ว ในสายตาชาวบ้าน เพราะแค่ จ.สุพรรณฯ และ จ.ชัยนาทที่ติดต่อกัน สุพรรณไม่ท่วมแต่ข้ามไปเขตชัยนาทไม่ถึงกิโลเมตรท่วมทันที"
นายชูวิทย์ กล่าวว่าระดับน้ำเป็นเมตร ทางขาด ที่ชัยนาท ตั้งแต่วันที่ 20 ก.ย.54 จนถึงวันนี้ เป็นเวลาหนึ่งเดือน ยังไม่มีการซ่อมแซมปรับปรุง
ทั้งที่เป็นถนนสายหลัก พื้นที่จังหวัดน้ำท่วม กลับไม่ตั้งศูนย์ประสานงานประจำอำเภอ ตำบล เป็นศูนย์กลางบริหารงาน-แบ่งพื้นที่ดูแล ของเหล่าอาสาสมัคร แต่กลับปล่อยให้อยู่ด้วยตัวเอง ทุกอย่างเละตุ้มเป๊ะ ต่างคนต่างทำ สิ่งที่เห็นชัดเจนคือ การทำงานเอาหน้าผ่านสื่อ
หัวหน้าพรรครักประเทศไทย กล่าวว่า ปัญหาสำคัญที่พบเจอหลังนำถุงยังชีพไปแจกจ่ายในจังหวัดภาคกลาง
พบว่า จังหวัดต่าง ๆ ไม่มีการบริหารจัดการที่ดีพอ ให้ชาวบ้านหรือผู้นำชุมชนจัดการกันเอง ในลักษณะต่างคนต่างเอาตัวรอด คนที่ช่วยเหลือตัวเองได้ก็หนีมาอยู่บนริมถนน คนใจบุญเอาของไปแจกก็ได้แต่ในเขตเมืองและคนที่อยู่ริมถนน แต่คนที่อยู่รอบนอกถูกตัดขาด ไม่มีเรือออกไปยังมีตกค้างอีกเป็นจำนวนเรือนหมื่นเรือนพัน
“ที่สำคัญเหล่าอาสาสมัคร องค์กรการกุศลต่างๆที่เสียสละด้วยจิตอาสาไปช่วยเหลือพี่น้องประสบภัยที่เดือดร้อน ก็ไม่มีหน่วยงานราชการในจังหวัดในอำเภอนั้นๆมาดูแล ต้องอาศัยกินอยู่หลับนอนริมถนนเหมือนชาวบ้าน แทนที่จะมีการตั้งศูนย์ประสานงานของทางราชการประจำอำเภอ ตำบล เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางบริหารงานและแบ่งพื้นที่ดูแลของเหล่าอาสาสมัครแต่กลับปล่อยให้อยู่ด้วยตัวเอง ทุกอย่างจึงเละตุ้มเป๊ะ ต่างคนต่างทำ"
เขาบอกว่า สิ่งที่เห็นชัดเจนคือ การทำงานเอาหน้าผ่านสื่อ ไล่ไปตั้งแต่นักการเมือง ดาราจนถึงบริษัทเอกชน
นักการเมืองเอาคนที่ไม่มีความรู้ ไม่มีประสบการณ์มาทำงานมารับผิดชอบหน้าที่ ดาราขอให้แค่ได้ไปโผล่หน้าจอเพื่อเป็นข่าว ขณะที่บริษัทเอกชนต่าง ๆ ไปขึ้นป้ายแบนเนอร์ตามเสาไฟฟ้าจังหวัดต่างๆว่า ไปบริจาคที่นั้นที่นี้ ทุกอย่างล้วนเป็นการฉวยโอกาสทำงานเอาหน้าทั้งสิ้น จึงน่าสงสารประเทศไทย