ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ มือใหม่ (ไม่ต้องหัดค้าน)...มิชชั่นพอสซิเบิล

สัมภาษณ์พิเศษ โดย ศักดา เสมอภพ ,อาทิตย์ ลมูลปลั่ง


"...อยากจะให้คนจดจำว่าครั้งหนึ่งมีนักการเมืองที่ไม่เหมือนใคร ผมยอมรับว่าอยากได้เกียรติยศชื่อเสียง แต่ผมไม่คิดว่างานการเมืองคือการลงทุน ถ้าผมคิดเรื่องการลงทุน ผมไปเป็นรัฐบาลแล้ว"

ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับศึกเลือกตั้ง 2554 ถือเป็นการเลือกตั้งที่เต็มไปด้วยการต่อสู้อันเข้มข้น

ภาพของผู้ชนะย่อมเต็มไปด้วยสีสันสดใส ในขณะที่ผู้แพ้ย่อมทึมๆ เทาๆ เป็นธรรมดา

แต่สำหรับ "พรรครักประเทศไทย" ซึ่งมีชื่อ "ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์" เป็นหัวหน้าพรรคนั้น นอกจากจะเป็นเต็มไปด้วยสีสันสดใสแล้ว ยังเปี่ยมด้วยความหวังอีกต่างหาก เพราะ "เกินความคาดหมาย" เมื่อพรรคน้องใหม่ โดยมี "เฮียชู" ถือธงนำนั้น ได้รับการลงคะแนนให้จนมี ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ หรือปาร์ตี้ลิสต์ถึง 4 คน

ณ เวลานี้ ใครๆ ก็ต้องอึ้ง-ทึ่ง-ตะลึงกับ "แผนการตลาด" ยุทธวิธี "การหาเสียง" และสร้างความจดจำในชื่อพรรคและหมายเลข เริ่มตั้งแต่แผนการ "ปล่อยของ" ซึ่งเป็นแผ่นป้ายหาเสียงที่ล้วนเจ็บๆ คันๆ เรียกรอยยิ้มกับผู้พบเห็น ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายรูปคู่กับสุนัขประจำบ้าน ที่หน้าตาบ๊องแบ๊วใสซื่อ สวนทางกับหน้าตาขึงขัง ถมึงทึง เอาจริงเอาจังของ "เฮียชู" ที่ประกาศจุดยืนชัดเจนว่า "อาสาเป็นฝ่ายค้านในสภา"

ความชัดเจนนำไปสู่จุดเด่นและขาย ของพรรครักประเทศไทย ...และนั่นกลายเป็นที่มาของความสำเร็จของพรรคขนาดเล็กที่มี "หัวหน้าพรรค" เป็นแม่เหล็กเพียงคนเดียว แต่สามารถดึงคะแนนเสียงให้พรรคอย่างล้นหลาม เกินความคาดหมาย ได้ ส.ส.มาประดับพรรคถึง 4 คน

"ชูวิทย์" ก้าวเข้าสู่แวดวงการเมือง เมื่อปี 2547 ซึ่งในครั้งนั้น ได้สร้างความฮือฮา "ทุบอ่าง" ที่หน้าสภาหินอ่อน เพื่อเป็นการดำเนินการเชิงสัญลักษณ์ บอกกับสังคมว่าได้ล้างมือจากธุรกิจอาบอบนวดแล้วอย่างสิ้นเชิง ?!?

เมื่อครั้งตั้งพรรคต้นตระกูลกมลวิศิษฎ์ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ กระทั่ง "ชูวิทย์" ได้ตัดสินใจสวมเสื้อพรรคชาติไทย เป็น "ลูกปลาไหล" ตัวใหม่ที่สร้างเสียงฮือฮาให้กับพรรคได้ไม่น้อย

และตรงจุดนี้เองที่ "ชูวิทย์" ได้เรียนรู้ "การทำงานการเมือง" จากมืออาชีพอย่าง "บรรหาร ศิลปอาชา" หัวหน้าพรรคชาติไทยในสมัยนั้น

ด้วยสไตล์การทำงานที่ดุดัน "กล้าพูด-กล้าชน-ไม่กลัวใคร" ทำให้ "ชูวิทย์" เริ่มเข้าไปนั่งในใจประชาชนทีละเล็กทีละน้อย

แต่ด้วยการทำงานแบบ "ขวานผ่าซาก" ทำให้ต้องผิดใจกันกับ "หัวหน้าเติ้ง" สุดท้าย "ชูวิทย์" ได้หันหลังให้กับพรรคชาติไทย และฉายแววรุ่งโรจน์อย่างสุดขีดในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งพรรครักประเทศไทยปวารณาตัวไว้ชัดเจนแล้วว่า "ขอรับใช้ประชาชนในฐานะฝ่ายค้าน"

จากนี้ไปเป็นคำยืนยัน ของ "ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์" หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ว่าจะทำหน้าที่ "ฝ่ายค้าน" ให้ดีที่สุด..

เตรียมแผนงานหรือวาระในการทำหน้าที่ฝ่ายค้านไว้อย่างไรบ้าง

นอกจากผมจะตรวจสอบนักการเมืองแล้ว ผมจะวิพากษ์วิจารณ์นักการเมืองที่ทำตัวไม่ถูกต้อง โดยไม่เกรงกลัวอะไร แล้วจะทำอะไรผมล่ะ เพราะผมไม่คิดจะรุ่งอยู่แล้ว ผมบอกเลยว่าหากจะอยู่ข้างบนพรรคพวกต้องไม่มี ผมไม่มีพวก ผมไม่ต้องสนใจ ถ้าผมมีพวก ผมก็ต้องเกรงใจพวก คนในสภาต้องมีพวก ถ้าไม่มีพวกก็เป็นเหมือนหัวเดียวกระเทียมลีบ แต่จะเอากับผมไหมล่ะ ผมเข้าไปเมื่อไหร่ ยืนยันว่ามันส์แน่ บอกไว้ก่อนได้เลยว่าคุณอย่ามาขอผมเพราะผมไม่ให้ สำหรับผม ไม่เป็นไรขอผมเป็น ส.ส.พอแล้ว สำหรับคณะกรรมาธิการประจำสภาผู้แทนราษฎร (กมธ.) ผมไม่แย่ง และไม่เอาเลยก็ได้ เรื่องนี้ผมไม่สนใจ ผมยังทำงานของผมได้

ตั้งแต่เริ่มแรกที่หาเสียงกระทั่งวันนี้ ก็ยังประกาศตัวชัดเจนว่าจะเป็นฝ่ายค้านเท่านั้น

ผมจะตั้งศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ โดยในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ จะขึ้นป้าย "แนวร่วมชูวิทย์" เพื่อเป็นช่องทางให้แจ้งเรื่องราวร้องทุกข์ แจ้งเหตุน่าสงสัยต่างๆ ที่ต้องการให้ผมเข้าไปตรวจสอบผ่านช่องทางต่างๆ นั่นจะเป็นส่วนหนึ่ง ส่วนกิจการงานในสภาผู้แทน ผมมองว่าเป็นแค่เกมการเมือง อยู่พรรคไหนก็ต้องเอาใจพรรคนั้น อยากเติบโตในพรรคก็ต้องออกมาชน ออกมาปะทะ ผมจึงมองว่าเป็นแค่งานหน้ากาก แต่งานจริงๆ ของผู้แทนคือ เราต้องลงพื้นที่ ซึ่งผมจะทำ อย่าลืมว่าทุกภาคมีคะแนนให้ผม ฉะนั้นผมมีสิทธิที่จะเข้าไปคุย เข้าไปสืบค้นหาข้อมูล เมื่อประชาชนส่งข้อมูลให้ผม ผมจะนำไปเสนอต่อสื่อมวลชน สำหรับงาน ส.ส.นั้น ถ้ามุ่งเฉพาะพูดในสภาอย่างเดียว ผมคิดว่าสู้เขาไม่ได้หรอก ก็ผมมี ส.ส.อยู่แค่ 4 คน จะไปสู้รัฐบาลที่มี ส.ส. 300 คน ได้ยังไงละครับ

แล้วจะทำงานร่วมกับพรรคฝ่ายค้านอื่นๆ อย่างไร

พรรคร่วมฝ่ายค้าน อย่างพรรคประชาธิปัตย์ ผมได้เดินทางไปพบมาแล้ว แม้พวกเขาออกจะงงๆ อยู่ก็ตาม แต่คิดว่าตอนนี้คงตั้งตัวติดแล้ว ในการทำงานของฝ่ายค้านนั้น เราทำงานร่วมกันได้ ซึ่งผมคิดว่าพรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องพึ่งผมด้วยซ้ำ ในการออกมาพูด เพราะประชาชนคนเสื้อแดงมีมาก แม้เสื้อแดงจะเลือกพรรคเพื่อไทย แต่ถ้าหากว่าในอนาคตพรรคเพื่อไทยทำอะไรผิด หรือทำอะไรไม่ดี เชื่อว่าคนเสื้อแดงก็ต้องคิดแน่นอน ก็มีบ้างที่เขาจะไม่เชื่อ แล้วถามว่าใครล่ะที่จะออกมาพูด ออกมาย้ำตรงจุดนั้น ถ้าไม่ใช่ผม จะให้พรรคประชาธิปัตย์ไปพูดเหรอ คนเสื้อแดงไม่เชื่ออยู่แล้ว แล้วจะให้ทำยังไง วันนี้เป็นระบบ 2 ขั้ว คนเสื้อแดงเขาไม่เปลี่ยนจากซ้ายมาเป็นขวาหรอก มันสุดโต่ง แต่สำหรับผมที่อยู่ตรงกลาง ผมวิพากษ์วิจารณ์พรรคเพื่อไทยได้ เพราะผมไม่เห็นพรรคเพื่อไทยเป็นศัตรู ขณะเดียวกันผมไม่ได้เป็นศัตรูของพรรคประชาธิปัตย์เช่นเดียวกัน ส่วนพรรคภูมิใจไทย ผมรู้ว่าเขาไม่ได้อยากเป็นฝ่ายค้าน เขาอยากเป็นรัฐบาล เชื่อผมไหมว่า การประชุมสภาในวันที่จะโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ส.ส.พรรคภูมิใจไทยจะสนับสนุนคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี พวกเขาก็จะบอกว่าเห็นด้วยอย่างยิ่ง จะมีพวกสอพลอพูดอย่างนี้ นั่นแสดงว่าพรรคภูมิใจไทยไม่ได้เป็นฝ่ายค้าน แต่เป็นเพียงว่าภูมิใจไทยตัวอยู่กับฝ่ายค้านแต่ใจอยู่กับรัฐบาล แล้วจะให้ผมทำงานกับภูมิใจไทยอย่างไรล่ะ ในเมื่อพรรคภูมิใจไทยไม่มีใจแนวแน่เป็นฝ่ายค้าน ส่วน ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ส.ส.พรรครักษ์สันติ ผมก็คงไม่ทำงานร่วมแน่นอนเพราะท่านแปลกๆ อยู่เหมือนกัน เพราะหาเสียงอยู่ดีๆ คิดอะไรไม่ออก ไม่สามารถชูภาพคนดีได้ ก็หันมาด่าผมซะงั้น


เปิดเผยได้ไหมว่ามีนโยบายไหนของพรรคเพื่อไทย ที่อยู่ในใจแล้วว่า "จะถล่ม" เป็นนโยบายแรก

(นิ่งคิด)... มันมี 2 ส่วน 1.นโยบาย และ 2.ตัวรัฐมนตรี ผมมองว่าคณะรัฐมนตรีของคุณยิ่งลักษณ์ จัดให้ดี จัดให้ตายยังไง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ซึ่งเป็นพี่ชาย ก็ต้องเอาพวก เขาโทร.หาหลายคน แม้กระทั่ง... (นิ่งไปครู่หนึ่ง) เขาอาจจะโทร.หาผม แล้วก็บอกว่าเรามาเป็นพวกกันไหมก็ได้ ฉะนั้นคณะรัฐมนตรีชุดนี้ต้องเอาพวกแน่นอน เริ่มแรกอาจทำให้คณะรัฐมนตรีมีหน้าตาดี เพื่อให้คนเชื่อถือ แต่ยังไงเสียคนเสื้อแดงต้องได้เป็นรัฐมนตรี เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณต้องพึ่งเสื้อแดง วันนี้อาจจะไม่ต้องพึ่ง แต่วันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีทางรู้ จึงไม่มีวันที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะทิ้งเสื้อแดงได้ สำหรับผม ถ้าพรรคเพื่อไทยทำดีผมก็ชื่นชม เพราะผมไม่ได้ห่วงสมาชิกของผม ผมจะชมพรรคไหน หรือจะด่าพรรคไหนก็ได้ ถ้าเห็นว่าไม่เข้าท่า เช่น นโยบายจบปริญญาตรีได้ค่าจ้าง 15,000 บาท ตอนนี้มาบอกเพิ่มเติมอีกว่า ที่จะได้นั้นจะต้องทำงาน มีประสบการณ์ ...แล้วทำไมตอนหาเสียงไม่มีบอกอย่างนี้ล่ะ ผมก็ต้องวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งผมคิดว่าไม่ยาก

ขยับไปที่พรรคร่วมรัฐบาลบ้าง สนใจจะเช็คบิลพรรคใดก่อน

จริงๆ แล้ว (นิ่งคิด) ..การทำงานเราต้องให้เวลารัฐบาล จู่ๆ เพิ่งก้าวขึ้นมาทำงานปุ๊บ แล้วเราไปวิพากษ์วิจารณ์ปั๊บก็คงทำไม่ได้ ผมตั้งเป้าให้เวลารัฐบาลได้ทำงานไป 6 เดือน ถามว่าผมจะเช็คบิลใครก่อนนั้น ก็ต้องรอดูผลงานใน 6 เดือนแรกว่าเป็นอย่างไร แต่พรรคบางพรรคเขาก็ทำงานต่อเนื่องกัน ประมาณว่ารัฐบาลสมัยที่แล้วได้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาครั้งนี้ ก็ยังอยากบริหารกระทรวงนี้อีก อันนี้ผมเอาเลย ผมให้เวลาเขาแค่ 30 วันก็พอ จากนั้นก็ตรวจสอบกันเลย ฉะนั้น ถ้าพรรคร่วมรัฐบาลได้ทำงานต่อเนื่องในกระทรวงเดิม เหมือนพรรคชาติไทยพัฒนาต้องจัดการก่อนเลย ผมไม่ได้ถือว่าคนอย่าง นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา เป็นอริแต่อย่างใด เพียงแต่อุดมการณ์นายบรรหารกับผมไม่ตรงกัน วันนี้นายบรรหารบอกว่าจะไปซื้อเสือขาว มาบอกว่าไม่เจอ พ.ต.ท.ทักษิณมา 2 ปี แต่พอจัดตั้งคณะรัฐมนตรีปุ๊บก็ไปคุย ผมถามหน่อยเถอะว่าที่พูดไปนั้นคนจะเชื่อเหรอ คุณมีสิทธิพูด แต่ถามว่าประชาชนจะเชื่อเหรอ คุณไม่พูดจะดีกว่าไหม พูดมาอย่างนี้เหมือนไปดูถูกประชาชน

แล้วที่มีคนครหาว่าคุณชูวิทย์มีแต่แอ๊กชั่น แต่เอาเข้าจริงไม่มีข้อมูลหรอก

(หัวเราะ) มีหรือไม่มีเดี๋ยวก็รู้ คุณอย่าลืมนะว่ามีคนฟังผม สังคมเขาฟังผม อย่างน้อยทุกครั้งที่ผมลงเลือกตั้ง ในพื้นที่ กทม.ได้คะแนนเป็นแสนๆ ตอนที่ผมลงก็ได้คะแนนเป็นล้าน แล้วทำไมไม่มีคนฟังผม เมื่อมีคนกากบาทเลือกผมเป็นล้านคน คุณแน่ใจเหรอว่าคุณพูดกับผมพูด คนฟังใครมากกว่า

แสดงว่าทุกเรื่อง ทุกประเด็นที่หยิบขึ้นมาตรวจสอบ มีข้อมูลระดับเชิงลึกแน่นอน

ข้อมูลผมมีหรือไม่มี เดี๋ยวคอยดูกัน คุณคิดเหรอว่าคนอย่างผมหาข้อมูลไม่ได้ 1.ผมเรียนจบ ม.ธรรมศาสตร์ 2.ผมมีสตางค์พอที่จะไปจ้างทีมทนายสัก 20 คนมาช่วยงาน 3.ผมใจถึง ถ้าวิพากษ์วิจารณ์ผมเตรียมข้อมูลไว้แล้ว ถึงข้อมูลไม่มี... เอาอย่างนี้แล้วกัน คนบางคนด่า พ.ต.ท.ทักษิณจนไม่เหลืออะไร แล้วก็มาอยู่กับ พ.ต.ท.ทักษิณ วันนี้ผมจะพูดว่า เขาด่าว่าอะไรเมื่อหลายปีก่อน ขึ้นเวทีไหนไปด่าว่าอะไร แล้ววันนี้ทำไมถึงเป็นรัฐมนตรีของ พ.ต.ท.ทักษิณ เอาแค่นี้ก็พอ ผมเป็นนักการเมืองสมัยที่ 2 แล้ว ผมเริ่มนิ่งแล้ว สมัยแรกผมอาจทำผิดทำถูก แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมจะพูดเรื่องอะไร คนไหนมีแผลอะไร เช่น เรื่อง พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ถามว่าเอาลูกเข้ามาทำไม ประเทศชาติไม่ใช่บริษัทจำกัด แล้วกี่ครั้งแล้วที่คุณได้คนอย่างนี้ ได้มาเป็นแอร์โฮสเตส ไปปักธงก็ไม่รู้เรื่องอะไร เพราะไม่รู้ว่าเป็นเมียใคร ได้ใครมาเป็นกลุ่มก๊วน แล้วมาเป็นรัฐมนตรี เวลาผมไปสมัครงานก็ยังดูการศึกษา แล้วคนเป็นรัฐมนตรีเอาการศึกษาหรืออะไรมาบริหารประเทศ ผมถามแค่นี้ก็ตอบผมไม่ได้แล้ว อย่างนี้มันต้องข้อมูลด้วยเหรอ อย่างนี้มันอยู่ที่ปาก ปากใครคมกว่า มึงกล้าพูดหรือเปล่า (เอามือทุบโต๊ะ ) มึงไม่กล้าพูด กูกล้าพูด

นอกจากใจถึงแล้ว ประชาชนสามารถพึ่งพาได้ใช่หรือไม่

เรื่องพึ่งได้หรือไม่ได้ต้องรอการพิสูจน์ แต่ก็ก็ต้องดูว่าจะมาพึ่งอะไรผม บางคนก็ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ก็อาจจะมาพึ่งปากผม แบบนี้ผมไม่ให้พึ่งหรอก วันนี้ นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี เสียชีวิตไปแล้ว ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ก็ไม่อยู่ วันนี้ก็ต้องชูวิทย์ วันนี้ไม่มีใคร...

มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่ามาเล่นการเมืองไม่ต้องการอะไร เพียงแต่ต้องการยืนในที่แจ้ง เพื่อคุ้มกันตัวเองจากการทำธุรกิจ

(สวนทันควัน) ผมถามว่าต้องทำอย่างนั้นทำไมคุณ (สื่อมวลชน) คิดว่าผมไม่มีสตางค์เหรอ แล้วผมจะคิดว่าใครจะมาฆ่าผมเหรอ ผมอยู่มา 7 ปี โดยที่ไม่เป็น ส.ส. คุณลองคิดแบบธรรมชาติซิ ปี 2547 ผมเป็น ส.ส. แต่หลังจากนั้นผมไม่ได้เป็นอะไร แล้วตกลงว่าผมอยู่ไม่ได้เหรอ (ถ้าผมไม่ได้เป็น ส.ส.) ต้องคิดให้ถูกว่า อดีตผ่านมา 7 ปี ผมก็อยู่ของผมได้ และคราวนี้ผมเป็น ส.ส.ปี 2554 ถ้าผมจะคุ้มกันตัวเองแล้วทำไมปี 2550-2553 ผมไม่เป็นอะไรทำไมไม่ฆ่าผม ผมถามหน่อยเถอะคนอย่างผม ไม่มีสตางค์จะไปจ้างใครเหรอ ถามหน่อยว่าทำไมผมต้องเอาตำแหน่ง ส.ส.มาปกป้องตัวเอง อาบน้ำ (ธุรกิจอาบอบนวด) ผมก็ไม่ได้ทำ ถ้าคุณคิดว่าผมทำ คุณลองไปถามสถานีตำรวจห้วยขวางดู เพราะตำรวจจะเป็นคนแรกที่รู้ ถ้าท้องที่ไหนเปิดบ่อน คนแรกที่รู้คือตำรวจ ถ้าจะมาถามว่าผมเป็นนอมินีหรือเปล่า ก็ลองถามสถานีตำรวจดูก็แล้วกัน

แล้วต้องการเป็น ส.ส.เพื่ออะไร

อยากจะให้คนจดจำว่าครั้งหนึ่งมีนักการเมืองที่ไม่เหมือนใคร ผมยอมรับว่าอยากได้เกียรติยศชื่อเสียง แต่ผมไม่คิดว่างานการเมืองคือการลงทุน ถ้าผมคิดเรื่องการลงทุน ผมไปเป็นรัฐบาลแล้ว

ท้ายที่สุดการทำงานร่วมกันของพรรคฝ่ายค้านจะมีประสิทธิภาพหรือไม่

งานในสภาผมไม่สนใจ งานในสภาของผมมีแค่ 30% การต่อสู้ในสภาไม่สิทธิชนะ รัฐบาลไม่เคยล้มในสภา ผมอภิปรายให้ดีขนาดไหนก็ไม่มีทางทำให้รัฐบาลล้มไปได้ งานในสภาของผมต้องอาศัยสื่อ เพื่อกระทบต่อไปยังประชาชนเป็นตัวหลัก ผมให้ไว้ 50%

การได้ ส.ส.มาประดับ "พรรครักประเทศไทย" ถึง 4 เสียง ซึ่งประกอบด้วย นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นายชัยวัฒน์ ไกรฤกษ์ นายโปรดปราน โต๊ะราหนี และพงษ์ศักดิ์ เรือนเงิน ต้องบอกว่า ไม่ใช่เพราะโชคช่วย

แต่เพราะบุคคลิกส่วนตัวที่ "กล้าได้กล้าเสีย" เสนอตัวเป็น "ทางเลือกใหม่" ให้กับประชาชนต่างหาก

เหนือสิ่งอื่นใด "การออกสื่อ" หรือการจัดทำแผนประชาสัมพันธ์เพื่อ "โปรโมต" ตัวเองและภาพลักษณ์ของพรรคนั้นก็จำเป็นด้วย เพราะมีภาพออกทางหน้าหนังสือพิมพ์ การมีสื่อมวลชนเกาะติดทำข่าวกิจกรรมรณรงค์หาเสียงในทุกพื้นที่นั้นเป็น "ตัวกระตุ้น" ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งหันกลับมามอง และกากบาทเลือกพรรครักประเทศไทยเพื่อให้ได้ "ชูวิทย์" มาเป็น ส.ส.ฝ่ายค้านได้เหมือนกัน

มีเสียงกระซิบดังสนั่นวงการสื่อออกมาว่า เพื่อบรรลุภารกิจเพื่อชาติครั้งนี้ "ชูวิทย์" ได้มีการจ้างสื่อ "ระดับประเทศ" ให้รับหน้าที่ทำประชาสัมพันธ์ให้ ไม่เช่นนั้นคงไม่ประสบความสำเร็จ สามารถมีภาพข่าวและเสียงโผล่ไปทุกเครือข่ายสื่อสารมวลชนได้

แต่ทว่า "เฮียชู" ปฏิเสธเสียงแข็งว่า "ไม่จริงครับ"

"ผมไม่เคยจ้างบริษัทพีอาร์ หรือบิ๊กวงการสื่อมาช่วย เชื่อมั้ยผมออกช่อง 9 ทั้งหมด 5 ครั้ง ออกรายการอื่นบ้างและออกช่อง 3 แค่ 3 ครั้ง แต่บังเอิญว่าทีวีช่อง 3 นั้น มีผู้ชมทางบ้านดูกันเยอะ แล้วเวลาผมออกทีวีให้สัมภาษณ์ ใครก็อยากฟังผม (ยิ้มๆ) ข่าวที่พูดกันว่าผมไปจ้างยักษ์ใหญ่วงการสื่อมาช่วยน่ะ ไม่มี๊ ไม่มีหรอก เขาเป็นระดับไหนกันแล้ว ถึงจะมาเอาเศษเงินจากพรรคเล็กๆ อย่างผม (หัวเราะ) เขาไปเอาเงินโฆษณาจากพรรคใหญ่ หรือพรรคขนาดกลางไม่ดีกว่าเหรอครับ"

แล้วคะแนนที่ทะลุเป้าไป 8 แสนกว่าคะแนนนั้น มาอย่างไร ...ก็ต้องบอกว่า ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เข้าป้าย ได้เป็น ส.ส.ถึง 4 คน ก็เป็น "ฝีมือล้วนๆ" นั่นเอง

"ป้ายหาเสียงและกลยุทธ์ต่างๆ ในการหาเสียงผมนั้น คิดเองทำเองทั้งหมด (เอานิ้วชี้ที่ขมับ) เวลาตั้งโต๊ะแดงแถลงข่าวจึงมีสื่อเข้าหา ที่เป็นอย่างนี้เพราะผมรู้ว่าสื่อเขาต้องการอะไร ฉะนั้นไม่มีการจ้างสื่อเพื่อให้มาทำข่าวประชาสัมพันธ์ตัวเองหรอก"

นั่นเป็นความจริงจากปาก "ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์" ซึ่งวันนี้แทบจะไม่ได้ไปขอให้สำนักวิจัยทำโพลสอบถามความเห็นหรอกว่า ระหว่าง "ส.ส.คนอื่นๆ" กับ "ชูวิทย์" ถ้าให้ลุกขึ้นพูด ชาวบ้านเขาอยากฟังใครมากกว่ากัน ??

จุดเด่นที่ไม่แน่ใจว่าอนาคตจะเป็น "จุดดับ" ของเจ้าตัวหรือไม่ ในการกล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ โดยเฉพาะเรื่อง "กล้าพูด" วิพากษ์วิจารณ์เพื่อนร่วมวงการ กระทั่งการวิเคราะห์เหตุปัจจัยที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ พ่ายแพ้การเลือกตั้งให้กับพรรคเพื่อไทย "เฮียชู" ก็ยังไม่ละเว้น....

"ประชาธิปัตย์ไม่มีทางชนะเพื่อไทยหรอก ตราบใดที่ยังเอาสิ่งที่ด้อยกว่ามาสู้ นโยบายประชาธิปัตย์ด้อยกว่า ทำให้ตายก็สู้เพื่อไทยไม่ได้ ฉะนั้นมีเพียงคำ 2 คำเท่านั้น ที่ประชาธิปัตย์จะอยู่เหนือเพื่อไทยและชนะได้ คือคำว่าทักษิณ"

แค่นี้ก็เห็นเค้าลางของความมันส์ แสบๆ คันๆ สไตล์ "หมามุ่ยเรียกพี่" ดังที่เจ้าตัวได้ประกาศไว้ล่วงหน้ากันแล้ว

หน้า 11.มติชนรายวัน ฉบับวันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม 2554

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์