นายประเสริฐ บุญเรือง ว่าที่ ส.ส.กาฬสินธุ์ พรรคเพื่อไทย กล่าวเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม
ถึงความเคลื่อนไหวในการต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรีว่า ขอให้ ส.ส.พรรคเพื่อไทยที่อ้างตัวว่าเป็นคนวิ่งเต้นช่วยเหลือผู้สมัคร ส.ส.คนอื่นๆ จนได้รับชัยชนะ โดยเฉพาะที่ได้ ส.ส.ยกจังหวัด เพื่อนำไปต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีกับผู้ใหญ่ในพรรค หยุดพฤติกรรมดังกล่าวได้แล้ว เพราะความเป็นจริง สถานการณ์ที่พรรคไม่มีทุน ก็ไม่มีใครดูแลใคร ทุกคนต่างดูแลตัวเองทำพื้นที่เฉพาะตัว บวกกับกระแสความนิยมของพรรคเพื่อไทย บรรดาผู้ที่เสนอตัวอยากเป็นรัฐมนตรีทั้งหลายควรดูตัวเองว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ ประชาชนคาดหวังกับพรรคเพื่อไทยไว้มาก ไม่ควรไปวิ่งเต้นสร้างความลำบากใจให้กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรี ควรให้เป็นอำนาจของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ พิจารณาตามความเหมาะสมกับเนื้องาน
"แต่คนที่ช่วยเหลือพรรคอย่างจริงจังเช่น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่ไปช่วยปราศรัยในภาคอีสานทั้งหมดอย่างนี้พรรคก็ต้องดูแล แต่คนที่ไม่มีความเหมาะ เช่น เคยเป็นรัฐมนตรีคุมกระทรวงสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องโครงสร้างพื้นฐานการสัญจร แต่ไม่มีผลงาน อย่ามาเสนอหน้า อย่ามาชเลียร์ ทำให้พรรคมีปัญหา" นายประเสริฐกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เรียกประชุมว่าที่ ส.ส.ที่เป็นแกนนำแต่ละภาค รวมกว่า 40 คน อาทิ นายสุพล ฟองงาม ว่าที่ ส.ส.อุบลราชธานี ว่าที่ ร.ต.พงศ์พันธุ สุนทรชัย ว่าที่ ส.ส.หนองคาย พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ ว่าที่ ส.ส.ชัยภูมิ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นต้น เพื่อประเมินผลการเลือกตั้งและวางกรอบการทำงาน
นพ.สุรวิทย์เปิดเผยว่า ในที่ประชุม น.ส.ยิ่งลักษณ์ย้ำว่า เรื่องที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือพรรคเพื่อไทยต้องเร่งทำนโยบายเพื่อเตรียมแถลงต่อรัฐสภา โดยได้ให้ว่าที่ ส.ส.ที่มีความถนัดในงานแต่ละด้านให้มาช่วยดูนโยบายที่กำลังจะยกร่างเพื่อทำนโยบายให้เกิดประโยชน์กับประชาชนมากที่สุด
ขณะที่รายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทย (พท.) เปิดเผยความคืบหน้าในการจัดสรรโควตารัฐมนตรี
ซึ่งแม้มีแนวโน้มได้ถึง 30 ตำแหน่ง แต่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของ ส.ส.ทำให้บรรดาแคนดิเดตของภาคต่างๆ ต้องขับเคี่ยวชิงตำแหน่งกันอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะภาคอีสานที่คาดว่าจะได้ประมาณ 10 ตำแหน่ง แต่มี ส.ส.ถึง 104 คน ทำให้บรรดาตัวเก็งเริ่มเคลื่อนไหวขอเสียงสนับสนุนจากเพื่อน ส.ส.ในกลุ่ม หรือในจังหวัดเดียวกันแล้ว อาทิ จ.ชัยภูมิมี ส.ส.6 จาก 7 คน แต่มีผู้เสนอตัวถึง 2 คนคือ นายเจริญ จรรย์โกมล จากกลุ่มอีสานพัฒนา ต้องแข่งขันกับ นพ.สุรวิทย์ แต่มีความเป็นไปได้ที่จะเป็น นพ.สุรวิทย์ เนื่องจากเป็นเลขานุการภาคอีสาน และเป็นเพื่อนสนิทของนายพายัพ ชินวัตร ขณะที่ จ.ขอนแก่น ที่กวาด ส.ส.ยกจังหวัด 10 คน มีแคนดิเดตถึง 3 คนคือ 1.นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ที่มีชื่อติดโผประธานสภาผู้แทนราษฎรในดวงใจ พ.ต.ท.ทักษิณ อีก 2 คนคือ นายพงศกร อรรณพพร ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายภูมิ สาระผล ว่าที่ ส.ส.ขอนแก่น ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่นายภูมิจะได้รับตำแหน่ง เพราะความอาวุโส และได้รับการสนับสนุนจากนายสมศักดิ์
แหล่งข่าวกล่าวว่า จ.เชียงราย มีการปล่อยชื่อแคนดิเดตมา 2 คนคือ นายสามารถ แก้วมีชัย และนายอิทธิเดช แก้วหลวง
แม้ว่านายสามารถจะมีภาษีดีกว่า เนื่องจากเคยเป็นรองประธานสภา แต่ที่ผ่านมานายสามารถมีท่าทีที่สนับสนุนนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ให้ดำรงตำแหน่งแคนดิเดตนายกฯ ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณไม่วางใจ อีกทั้งนายสามารถยังไม่เคยดูแล ส.ส.ในจังหวัด ทำให้บรรดา ส.ส.เชียงรายอีก 5 คนพากันสนับสนุนนายอิทธิเดช ส่วนตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลกฎหมายนั้น ปรากฏชื่อของนายพีรพันธุ์ พาลุสุข ว่าที่ ส.ส.ยโสธร อย่างไรก็ตาม ชื่อนายพีรพันธุ์ยังไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของผู้ที่จะดำรงตำแหน่งดังกล่าว เพราะมีข่าวอีกกระแสว่า พ.ต.ท.ทักษิณอาจดึงนักกฎหมายภายนอกที่เคยใช้บริการมาก่อนเข้ามารั้งเก้าอี้ เนื่องจาก พท. มีแผนจะปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด
แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า นอกจากการโผแคนดิเดต รมต.ที่ถูกปล่อยออกมาแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณยังเปรยกับคนใกล้ชิดว่าได้จัดทำบัญชีบุคคลต้องห้ามไม่ให้ดำรงตำแหน่ง รมต.ไว้ด้วย
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนที่เคยสร้างปัญหาในอดีต จนมีการวิจารณ์ภายใน พท.ว่าเป็นการชิงแจกใบแดงจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งจากการตรวจสอบล่าสุดพบว่ามีรายชื่อ 7 คน จาก 3 กลุ่มหลักได้แก่ 1. กลุ่มนายมิ่งขวัญ 2.กลุ่มความหวังใหม่ ซึ่งเป็นลูกน้องเก่าของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตประธานพรรค และ 3.กลุ่มที่เคยทิ้งพรรค อย่างไรก็ตาม ในส่วนของนายมิ่งขวัญมีการวิเคราะห์ว่าถือว่าโดนใบแดงจากกรณีไม่ได้เป็นแคนดิเดตนายกฯมาแล้ว ครั้งนี้จึงเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะให้โอกาสเข้ามาทำงานบริหาร แต่ไม่ได้อยู่ในกระทรวงเศรษฐกิจที่เป็นหัวใจหลัก ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะส่งไปเป็น "พีอาร์ไทยแลนด์" ในกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา