"อภิสิทธิ์" วาน "สุเทพ" จัดเลือกหัวหน้าปชป. "เทือก" ยันไม่ขอเป็นเลขาฯอีก ชี้ปล่อยคนเสื้อเเดงยึดเกินครึ่งประเทศเปลี่ยนเเปลงการปกครองเเน่ ปัดวิจารณ์ว่าที่ครม.ปู แนวคิดตั้ง"ทักษิณ"ทูตพิเศษ
ความเคลื่อนไหวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและรักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ วันที่ 6 ก.ค. เมื่อเวลา 09.00 น. ได้เดินทางเข้ามายังปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดยได้เปลี่ยนมาใช้รถเรนจ์ โรเวอร์ กันกระสุน ทะเบียน ฌฮ 8213 พร้อมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
เมื่อนั่งเซ็นเอกสารไปได้ประมาณ 1.30 ชั่วโมง ได้ลงมาจากตึกไทยคู่ฟ้า เพื่อเดินขึ้นไปยังชั้น 5 ตึกบัญชาการ 1 ซึ่งเป็นห้องทำงานของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และรักษาการเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อพูดคุยกันถึงการวางยุทธศาสตร์การทำงานของพรรคและการทำหน้าที่ฝ่ายค้านในสภา โดยมีนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ กก.บห.พรรคประชาธิปัตย์ตามไปสมทบซึ่งทั้งหมดได้ใช้เวลาหารือกันประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที
จากนั้น เวลา 12.15 น. นายอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ว่ามาเยี่ยมเยียนและขอให้นายสุเทพทำหน้าที่ดูแลการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ที่รักษาการอยู่ เพื่อกำหนดวันประชุมใหญ่วิสามัญของพรรค ซึ่งในการประชุมกรรมการบริหารตนจะไม่เข้าร่วมประชุม
เมื่อถามว่าได้มีการทาบทามให้นายสุเทพกลับมาเป็นเลขาธิการพรรคอีกครั้งหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ หัวเราะก่อนกล่าวว่า นายสุเทพพูดไปแล้ว ต้องให้นายสุเทพเป็นคนพูดดีกว่า อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของพรรควันนี้เป็นการพูดคุยถึงภาพรวมและทิศทางของพรรค และบ้านเมืองมากกว่า โดยมีการวิเคราะห์ถึงสถานการณ์โดยรวม และคิดถึงการวางแนวทางของการทำงานของพรรคว่าควรจะเป็นอย่างไร แต่ก็ขึ้นอยู่กับกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ที่จะเข้ามาดำเนินการ และจะต้องเป็นเรื่องที่ส.ส.ของพรรคและกรรมการบริหารจะต้องมาพูดคุยกัน
เมื่อถามว่ามีการพูดคุยเรืองการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ของพรรคด้านใดบ้าง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนคุยกับนายสุเทพเฉพาะเรื่องส่วนตัว เพราะได้บอกแล้วว่าตอนนี้เป็นการเปิดทางให้สมาชิกพรรคระดมความคิดเห็นกันอย่างเต็มที่ ซึ่งตนก็เห็นว่าก็มีการพูดคุยกันอยู่เรื่อยๆ เมื่อถามว่าในใจมีคนที่จะเป็นเลขาธิการพรรคหรือยัง นายอภิสิทธิ์ ได้แต่ยิ้ม แต่ไม่ตอบคำถาม
“แต่ในส่วนของทิศทางของบ้านเมืองที่หารือกันนั้น ยอมรับว่าเรามีความเป็นห่วงว่าไม่ต้องการให้มีการขยายผลในลักษณะของความแตกแยกเป็นเรื่องของมวลชนหรือเรื่องอื่นๆ อยากให้ทุกอย่างกลับเข้ามาอยู่ในระบบของรัฐสภา”นายอภิสิทธิ์ กล่าวและรีบแหวกวงล้อมผู้สื่อข่าวขึ้นรถและเดินทางออกจากทำเนียบรัฐบาลทันที
"เทือก"ยันไม่ขอเป็นเลขาฯอีก
นายสุเทพ กล่าวถึงการจะจัดประชุมวิสามัญเพื่อคัดเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ว่า นายอภิสิทธิ์เหมาะสมที่จะเป็นหัวหน้าพรรคที่สุด แต่ตำแหน่งเลขาธิการพรรคนั้นต้องให้กรรมการบริหารพรรค และสมาชิกพรรคไปพิจารณาใหม่ อย่างหรก็ตามพรรคประชาธิปัตย์เดินหน้าเป็นฝ่ายค้านนั้นต้องทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงแทนประชาชน นำปัญหาของประชาชนไปอภิปรายในสภา มีหน้าที่ตรวจสอบควบคุมการทำงานของรัฐบาลให้อยู่ในกรอบและกฎเกณฑ์กติกา เราต้องทำหน้าที่ของเราออกไปให้เต็มกำลังความสามารถ แต่ตนเรียนได้ว่าเมื่อพรรคไปเป็นฝ่ายค้าน จะไม่ทำหน้าที่เหมือนช่วงที่พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้านคือไปตั้งกองกำลังติดอาวุธและมวลชนมาก่อกวนรัฐบาล พวกตนจะไม่ทำแต่จะทำตามกติกาของระบอบประชาธิปไตยที่อารยะประเทศประพฤติกัน เมื่อถามว่าจะให้เวลารัฐบาลใหม่ทำงานแค่ไหน นายสุเทพ กล่าวว่ ทำได้ทั้งสี่ปี เมื่อถามว่า นายชวน หลีกภัย แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ระบุว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เหมาะสมที่สุดที่จะเป็นหัวหน้าพรรค และหลายคนระบุว่าหากเป็นเช่นนั้น นายสุเทพก็ควรเป็นเลขาธิการพรรคด้วย นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่จริง
เมื่อถามว่าหากบอกว่านายอภิสิทธิ์เหมาะสมที่จะเป็นหัวหน้าพรรค จะปิดกั้นคนอื่นๆในพรรค เช่น นายกรณ์ จาติกวณิช นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน หรือนายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์ หรือไม่ นายสุเทพยิ้ม และกล่าวว่า ไม่ได้ปิดกั้น แต่เมื่อมาถามตน ตนพยายามเลี่ยงที่จะไม่ตอบ แต่เมื่อถามปุ๊ป ก็มาเล่นงานตนต่อเลย เรื่องนี้มันแล้วแต่สมาชิกพรรคจะตัดสินใจ เมื่อถามว่าหากหัวหน้าพรรคคนใหม่เสนอชื่อนายสุเทพให้เป็นเลขาธิการพรรคจะรับตำแหน่งหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ตนคงห้ามไม่ให้เสนอชื่อ ตนตั้งใจจะไม่รับตำแหน่งแล้ว ส่วนคุณสมบัติเลขาธิการพรรคคนใหม่นั้นต้องเป็นคนธรรมดา
เมื่อถามว่า ต้องมีสายสัมพันธ์ทางการเมืองกับฝ่ายต่างๆด้วยหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า คนที่เป็นเลขาธิการพรรคต้องทำได้ทั้งนั้น เมื่อถามว่านายกรณ์ จาติกวณิช หรือนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ควรเป็นเลขาธิการพรรคหรือไม่ เพราะเป็นคนรุ่นใหม่เพื่อเทียบเคียงหัวหน้าพรรค นายสุเทพ กล่าวว่า ได้ แต่คงอยากเป็นหัวหน้าพรรคมากกว่า เพราะไม่ได้เตรียมตัว และคนในพรรคมีเยอะแยะ ไม่ค่อยอับจนด้านบุคลากรเพราะมีคนให้เลือกตลอดเวลา พรรคมีหลายคนที่ทำได้แน่นอน เมื่อถามว่า จะช่วยงานพรรคต่อไปหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ตนยังเป็นสมาชิกพรรคอยู่ และมีหน้าที่ทำงานให้พรรค
เมื่อถามว่าที่ผ่านมาพรรคได้บทเรียนใดบ้างจากการที่นำคนหนุ่มขึ้นมาทำงานแทบทั้งหมด โดยแทบไม่มีผู้อาวุโสเลย นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่หรอก มันเป็นแบบนี้เอง ความจริงตนไม่หนุ่มเท่าใดเพราะตนอายุ 62 ปีแล้ว และนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกฯก็แก่กว่าตนอีก เมื่อถามว่าพรรคจะปรับแนวทางการทำงานใหม่เช่นใด ในการรองรับการเลือกตั้งครั้งหน้า และดึงมวลชน นายสุเทพ กล่าวว่า พรรคไม่เลือกรุ่นว่าจะเป็นรุ่นใหม่หรือรุ่นเก่า เพราะการเมืองนั้นจะเลือกรุ่นและกำหนดไม่ได้ มันต้องนำมาจากความคิดและการทุ่มเททำงานให้พรรคมาช่วยกันคือคนที่พร้อมและแข็งแรงมาช่วยกัน
เมื่อถามว่า เวลาที่พรรคจะแข็งแรงและพร้อมเมื่อใด นายสุเทพ กล่าวว่า การเป็นพรรคการเมืองนั้นต้องพร้อม เพราะเป็นหน้าที่กรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ที่ต้องสร้างความพร้อมให้พรรคเพื่อเตรียมตัวลงต่อสู้ในสนามเลือกตั้งครั้งต่อไปให้ได้ เมื่อถามว่า พรรคจะดึงมวลชนในภาคอีสานอย่างไร เพราะเมื่อเจาะภาคนี้ไม่ได้ก็มีปัญหาในการรวบรวมเสียงตั้งรัฐบาล นายสุเทพ กล่าวว่า เรื่องสำคัญคือต้องไปดูคนที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำรุ่นใหม่ในพื้นที่เหล่านี้คือต้องดูคนที่มีอุดมการณ์เดียวกับพรรคและมีความโดดเด่นพอที่จะไปสร้างฐานมวลชนได้
เมื่อถามว่า เวลาที่เหลือจะสร้างฐานมวลชนได้เท่ากับการสร้างมวชนของนปช.เป็นฐานของพรรคเพื่อไทย นายสุเทพ กล่าวว่า “ ตรงนั้นใช้เวลาหลายปี คือ เริ่มทำตั้งแต่ช่วงที่มีคมช. และทำเต็มที่มันจึงได้ผลอย่างที่เห็น แต่หากยึดได้เกินครึ่งประเทศเมื่อใด ก็เปลี่ยนรูปแบบการปกครอง และขอให้คอยดูว่าลูกหลานจะอยู่อย่างไร ”
เมื่อถามว่าพรรคประชาธิปัตย์ก็มีฐานคือยุวประชาธิปัตย์ และพลตรีจำลอง ศรีเมืองก็มีฐานคือกองทัพธรรม นายสุเทพ ล่าวว่า “ ของเราธรรมดา มันไปเรื่อยๆ บังเอิญว่าพรรคของผมไม่นำมาใช้ทำลายบ้านเมือง และไม่มีวัตถุประสงค์ซ่อนเร้น ” เมื่อถามว่า สิ่งที่ระบุว่าหากนปช.ยึดได้ครึ่งประเทศจะเปลี่ยนรูปแบบการปกครองนั้นคืออะไร และไม่กังวลว่าจะโดนฟ้องว่ากล่าวหาหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า “ ไม่ต้องกลัวกล่าวหา ในที่สุดก็จะเห็น จำๆกันไว้แล้วกันที่คุยกันไว้ ตนเรียนไว้ให้รับทราบกันเผื่อว่าประชาชนเจ้าของประเทศจะได้ทราบว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้างในวันข้างหน้า ในเมื่อประชาชนสมัครใจก็ยินดี”
นายสุเทพ กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวพรรคเพื่อไทยที่จะเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลจะแต่งตั้งพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นทูตการค้าพิเศษ ว่า ตนไม่ทราบจริงๆว่าตั้งใจทำอะไร แต่หากเป็นจริงนั้นคงไม่สวยงามเพราะพ.ต.ท.ทักษิณยังเป็นนักโทษหนีคดี หรือผู้ต้องคำพิพากษาของศาลและหนีคดีไปต่างประเทศ หากรัฐบาลใหม่จะแต่งตั้งให้รับตำแหน่งดังกล่าวนั้นคงไม่สง่างามและไม่สวย ส่วนคนไทยจะรู้สึกอย่างไรนั้นต้องสอบถามคนอื่นๆ หากตนให้ความเห็นไปนั้นก็จะบอกกันว่าอ๋อ แน่นอนเป็นฝ่ายค้านต้องพูดจาไม่ดี
เมื่อถามว่า รายชื่อว่าที่ครม.ยิ่งลักษณ์ 1 ที่สื่อมวชนนำเสนอออกมาในช่วงนี้มีความเห็นเช่นใด อาทิ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง จะเป็นรมว.ยุติธรรมหรือประธานสภาผู้แทนราษฎร นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ จะเป็นรมว.มหาดไทย นายสุเทพ กล่าวว่า ชื่อใครก็เป็นสิทธิของฝ่ายเสียงข้างมากอยู่แล้ว จะไปวิจารณ์ล่วงหน้าอย่างนี้ ชื่อเหล่านั้นอาจจะจริงและไม่จริง แล้วจะไปพูดแบบผิดๆถูกๆนั้น ตนขออนุญาตไม่วิจารณ์ อย่างไรเสียพวกตนต้องมีความเห็นอยู่แล้วเวลาที่แต่งตั้งครม. ตอนนี้ยังไม่จบจะไปติเรือทั้งโกลนนั้นคงไม่ได้
เมื่อถามว่าเบื้องต้นในตอนนี้ฝ่ายค้านมีสามพรรคคือพรรคประชาธิปัตย์ พรรครักประเทศไทย และพรรคภูมิใจไทย นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่ทราบว่าในที่สุดจะเหลือใครบ้าง ไม่มีอะไรที่กังวลใจ การเป็นฝ่ายค้านไม่ว่าจะมีกี่คนก็ทำได้ เมื่อถามว่านางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แกนนำพรรคเพื่อไทยระบุว่าพรรคร่วมรัฐบาลมี 299 เสียง ฝ่ายค้านมี 201 เสียง ในทางกฎหมายนั้น ฝ่ายค้านจะเดินหน้าตรวจสอบรัฐบาลได้หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่มีปัญหา พรรคประชาธิปัตย์มีสองคนก็ตรวจสอบได้ เมื่อถามว่าแสดงว่าตัวเลขของฝ่ายค้านไม่มีปัญหาในการทำงาน นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่มีปัญหา พวกตนทำงานได้
"อภิรักษ์"ยันหนุน"อภิสิทธิ์"นั่งหัวหน้าพรรคต่อ
นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้อำนวยการเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ “ สำนักข่าวเนชั่น ” ถึงการสรรหาหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ แทนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ลาออกจากตำแหน่งไปก่อนหน้านี้ว่า จากนี้ต้องเข้าสู่กระบวนการสรรหาคณะกรรมการบริหารพรรคคนใหม่ ภายหลังคณะกรรมการบริกหารพรรคชุดเก่าพ้นจากตำแหน่งไปด้วย จากนั้นจะมีกระบวนการสรรหากรรมการบริหารพรรค เพื่อเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ภายใน 90 วัน ส่วนที่มีกระแสข่าวว่าตนเป็นหนึ่งในตัวเต็งเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ ตนยังสนับสนุนนายอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้าพรรค เพราะเชื่อว่านายอภิสิทธิ์ยังมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะนำพรรคประชาธิปัตย์เดินหน้าต่อไปได้
"ปชป."เตรียมร้องกตต.ขอนับคะแนนใหม่2เขตหลัง
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ว่าที่ส.ส. สงขลา และคณะทำงานกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยน.ส.จิตร์ภัส ภิรมย์ภักดี ผู้สมัครส.ส.เขต 5 นายแทนคุณ จิตต์อิสระ ผู้สมัครส.ส.เขต 12 กรุงเทพ พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมแถลงขอความเป็นธรรมต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง ( กกต .) ให้พิจารณาผลการเลือกตั้งใหม่หลังมีข้อมูลพบว่าเกิดความไม่โปร่งใสขึ้น
นายวิรัตน์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์จะส่งเรื่องขอให้กกต.นับคะแนนเลือกตั้งใหม่ใน 2 เขต ประกอบไปด้วย 1. พื้นที่เขตเลือกตั้งที่ 5 จ . กรุงเทพฯ เพราะมีหลักฐานที่แสดงว่าในระหว่างการนับคะแนนนั้น เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยมีพฤติกรรมหยิบบัตรเพื่ออ่านและหยิบลงอย่างรวดเร็วหลายครั้งจนเกิดความน่าสงสัย รวมถึงกรณีที่น.ส.จิตร์ภัส มีคะแนนน้อยกว่าน.ส. ลีลาวดี วัชโรบล ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย เพียง 600 คะแนน ขณะที่บัตรเสียมีถึง 5,000 ใบคิดเป็นร้อยละ 5.7 ซึ่งถือว่ามากกว่าสถิติในการเลือกตั้งในทุกๆครั้งที่ผ่านมา นอกจากนี้น.ส.ลีลาวดี ยังหาเสียงถึงนโยบายที่อาจจำให้ประชาชนเข้าใจผิด อาทิ การขึ้นเงินเดือนผู้ที่จบปริญตรีในอัตรา 15,000 บาทต่อเดือน การแจกเครื่องคอมพิวเตอร์แทบเล็ต เป็นต้น 2. เขตเลือกตั้งที่ 1 จ . กาญจนบุรี ที่พรรคส่งนายอัฏฐพล โพธิพิพิธ ลงสมัครและมีคะแนนน้อยกว่าผู้ที่ได้รับชัยชนะเพียงประมาณ 160 คะแนน ซึ่งมีหลักฐานที่เชื่อได้ว่ามีการนำผลคะแนนเลือกตั้งรวมหน้ามารวม
นายวิรัตน์ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีกรณีของเขตเลือกตั้งที่ 12 กรุงเทพฯ ที่พรรคส่งนายแทนคุณ ลงสมัคร และถูกผู้สมัครจากฝ่ายตรงข้ามใส่ร้ายทั้งจากการปราศรัย และการหาเสียงโดยการอ้างประเด็นส่วนตัว ทั้งนี้พรรคจะร้องกกต. เพื่อให้ถอนสิทธิ์การเป็นส.ส. เพราะเชื่อได้ว่าผู้สมัครจากฝ่ายตรงข้ามมีการทำผิดกฎหมายเลือกตั้งมาตรา 53
นายแทนคุณ กล่าวว่า ได้ถูกผู้สมัครฝ่ายตรงข้ามกล่าวหาหลายอย่าง อาทิ การไปบอกประชาชนว่าตนเปลี่ยนนามสกุลทำให้บิดาต้องตรอมใจตาย การกล่าวหาว่าตนเป็นกลุ่มชายรักชาย การกล่าวหาว่าตนดูถูกประชาชนชาวดอนเมืองว่าจิตใจต่ำ ทั้งนี้ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและส่งผลต่อการได้รับคะแนน ทั้งนี้ตนไม่ได้แพ้แล้วพาล เพราะเคยไปร้องกกต . มาแล้ว แต่ยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด
ด้านน.ส.จิตร์ภัสร์ กล่าวว่า ได้ยื่นเรื่องให้กกต . นับคะแนนใหม่แล้วเพราะเห็นความผิดปกติที่มีบัตรเสียมากกว่าการเป็นจริง อีกทั้งผู้สมัครฝ่ายตรงข้ามยังมีการหาเสียงใช้นโยบายหลอกลวงผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง
รับกระแส"โหวตโน-พรรคใหม่"แย่งเสียงกทม.
นายอภิรักษ์ ให้สัมภาษณ์ “ สำนักข่าวเนชั่น ” ถึงผลการเลือกตั้งในกทม.ที่พรรคประชาธิปัตย์ได้เก้าอี้ ส.ส. 23 ที่นั่งว่า ตนเพิ่งประชุมกับกรรมการอำนวยการเลือกตั้งกทม.เสร็จ เพื่อร่วมวิเคราะห์สาเหตุที่มีแพ้การเลือกตั้งในบางเขต โดยเฉพาะในพื้นที่ทางเหนือและตะวันออกของกทม.ก็พบว่ายังเป็นพื้นที่เดิมของพรรคเพื่อไทยที่กระแสยังแรง แต่กรณีอย่างเขต คลองสามวา หรือและเขตคันนายาว ซึ่งนายสมัย เจริญช่าง กับ นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ซึ่งเป็นส.ส.เก่า ก็แพ้การเลือกตั้งให้พรรคเพื่อไทย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกระแสโหวตโน กับพรรคหน้าใหม่ที่เกิดขึ้นมาตัดคะแนนเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ในพื้นที่นั้น
“ผลการเลือกตั้งในกทม.ที่ออกมา ก็ถือว่าพอใจ อย่างน้อยคนกทม.ยังให้การสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนใครที่ได้เป็นส.ส.ก็ลงพื้นที่ทำงานต่อเนื่อง ส่วนเขตที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ชนะก็ต้องทำงานหนักต่อไป ” นายอภิรักษ์ กล่าว