นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ หัวหน้าและผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อพรรครักประเทศไทย
แถลงว่านโยบายหาเสียงทุกพรรคการเมืองล้วนเป็นนโยบายประชานิยมที่ไม่สามารถทำได้จริง เพราะต้องใช้เม็ดเงินจำนวนหลายล้านบาท ขณะเดียวกันเงินในคลังมีไม่เพียงพอ ดังนั้นหากรัฐบาลชุดหน้าเน้นแต่การทำนโยบายประชานิยม อาจทำให้รัฐไม่สามารถนำงบไปพัฒนาหรือลงทุนโครงการที่จำเป็นได้ เช่น สร้างถนน
"ผมมีตัวเลขนโยบายประชานิยมของแต่ละพรรคให้ดู โดยพรรคเพื่อไทยจะใช้เงินมากถึง 9.6 แสนล้านบาท พรรคประชาธิปัตย์ 4.2 แสนล้านบาท พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน 1.12 ล้านล้านบาท พรรคภูมิใจไทย 7.7แสนล้านบาท และพรรคชาติไทยพัฒนา 2.3 แสนล้านบาท ดังนั้นหากพรรคใดจะทำโครงการประชานิยมจำเป็นต้องหาเงินเข้ารัฐ 36 เปอร์เซ็นต์ แต่ขณะนี้ไม่มีพรรรคใดที่บอกวิธีหาเงิน" นายชูวิทย์ กล่าว
นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า ช่วงบ่ายวันนี้ (29 มิ.ย.) ทางสถานทูตอังกฤษได้เชิญตนไปพบที่ที่ทำการสถานทูต
โดยตนคาดว่าทางทูตต้องการทราบถึงสถานการณ์การเมืองและการเลือกตั้งของประเทศไทย จากคนที่มีข้อมูล ไม่ใช่คนซี้ซั้ว ทั้งนี้ในวันที่ 1 ก.ค. ตนจัดปราศรัยใหญ่ที่สวนชูวิทย์ เวลา 18.00 น. โดยเนื้อหาจะเน้นนโยบายต้านทุจริตคอรัปชั่น ปัญหาการเมืองในปัจจุบัน และอนาคตประเทศไทยหลังการเลือกตั้ง ทั้งนี้จะมีการถ่ายทอดสดผ่านไลฟ์สตรีมบนเวปไซต์ของตนด้วย
นายชูวิทย์ ยังได้ตอบคำถามถึงการตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งว่า หากพรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้านเชื่อว่าภายใน 3 เดือนจะเกิดเหตุการณ์วุ่นวาย ที่ลักษณะใกล้เคียงกับการชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์ และหากเพื่อไทยได้คะแนนไม่ถึง 251 คะแนน ส่วนพรรคภูมิใจไทยได้เสียง 60 เสียง พรรคเพื่อไทยอาจเป็นฝ่ายค้านที่แน่นอน