คมชัดลึก :'นพดล' ออกแถลงการณ์ สวนหมัด 'อภิสิทธิ์' กรณี 'ไทย-กัมพูชา' ลั่น กล่าวหาเป็นเท็จ จวก ไร้วุฒิภาวะ ทำเพื่อหวังผลการเมือง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะอดีตรมว.ต่างประเทศ
ได้ออกแถลงการณ์ผ่านเฟซบุ๊ค ถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รักษาการนายกรัฐมนตรี ได้เขียนจดหมายฉบับที่ 8 ในเฟซบุ๊ค กรณีปัญหาไทย - กัมพูชาซึ่งมีข้อความหลายตอนที่กล่าวหาพาดพิงถึงเป็นการส่วนตัวว่า การกล่าวหาที่เป็นเท็จดังกล่าวนั้น ถ้าปล่อยทิ้งไว้ก็จะทำให้พี่น้องที่อ่านความเท็จเข้าใจผิด
ตนไม่นึกไม่ฝันว่านายอภิสิทธิ์จะกล้าใช้ความเท็จใส่ร้ายป้ายสีตนขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ตนไม่เคยทำร้ายท่าน นายอภิสิทธิ์จะหาเสียงก็ว่าไป เพราะตนเป็นผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมือง ไม่สามารถใช้สิทธิเลือกตั้งหรือลงสมัครรับเลือกตั้งได้ ตนไม่อยากตอบโต้ท่าน แต่ขอใช้สิทธิชี้แจงเพื่อปกป้องตนเอง และที่สำคัญกว่าเกียรติยศและชื่อเสียงของตนก็คือความจริง พี่น้องคนไทยมีสิทธิที่จะรู้ความจริงว่าในอดีตและปัจจุบันนั้นใครปกป้องดินแดน ทั้งนี้ การชี้แจงของตนนั้นไม่เกี่ยวกับพรรคการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น และไม่เกี่ยวกับตำแหน่งที่ปรึกษาพ.ต.ท.ทักษิณ
ปัญหาปราสาทพระวิหารนั้นมีที่มาที่ไปและซับซ้อน ขอสรุปให้เข้าใจง่ายๆ คือ
1. ในปี 2505 ไทยแพ้คดีในศาลโลกในคดีที่หม่อมเสนีย์ ปราโมช ว่าความ รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์จึงจำใจและจำยอมยกปราสาทพระวิหารให้กัมพูชาตามคำตัดสินของศาลโลกเมื่อ 46 ปีที่แล้ว นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี หรือตนไม่ใช่คนยกปราสาทพระวิหารให้กัมพูชา นอกจากนี้ ปี 2549 กัมพูชาไปยื่นคำขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยแผนที่ที่ยื่นนั้นรุกล้ำและผนวกเอาพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรที่ไทยอ้างสิทธิเข้าไปด้วย
กล่าวคือกัมพูชายื่นขอขึ้นทะเบียนตัวปราสาทและพื้นที่ทับซ้อน จากนั้นปี 2550 ในสมัยรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ไทยคัดค้านไม่ให้กัมพูชานำพื้นที่ทับซ้อนไปขึ้นทะเบียน จนคณะกรรมการมรดกโลกเลื่อนการพิจารณาการขึ้นทะเบียนปราสาทจากปี 2550 ไปเป็นก.ค. 2551 ต่อมา เดือนก.พ. 2551 รัฐบาลคมช.หมดวาระลง รัฐบาลนายสมัครเข้ามาจึงต้องรับช่วงแก้ปัญหา และรัฐบาลเสมือนถูกไฟลนก้นเพราะเหลือเวลาเพียง 5 เดือนก่อนประชุมมรดกโลกในเดือนก.ค. 2551 ต้องเร่งเจรจาให้กัมพูชาตัดพื้นที่ทับซ้อนออกก่อนให้ได้ เพราะแผนที่ที่กัมพูชายื่นคาไว้ตั้งแต่ปี 2549 นั้นผนวกเอาพื้นที่ทับซ้อนไปขึ้นทะเบียนไว้ด้วย
พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรนั้นต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ ไทยก็อ้างเป็นเจ้าของ กัมพูชาก็อ้างว่าเป็นเจ้าของ รัฐบาลนายสมัครและตนพยายามเจรจาให้กัมพูชาตัดพื้นที่ทับซ้อนออก และห้ามนำไปขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เพราะหากกัมพูชาขึ้นทะเบียนพื้นที่ทับซ้อนเป็นมรดกโลกสำเร็จไทยจะสุ่มเสี่ยงเสียอธิปไตยในพื้นที่ทับซ้อน
ทั้งนี้ การดำเนินการที่รัฐบาลนายสมัครและตนทำไปนั้นดำเนินการเป็นขั้นเป็นตอน
หน่วยงานของรัฐและข้าราชการประจำทุกฝ่ายร่วมกันทำและเห็นด้วย เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กองทัพไทย สภาความมั่นคงแห่งชาติ กรมแผนที่ทหาร ครม. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีตผบ.ทบ. และพล.อ.วินัย ภัทยกุล หากรัฐบาลนายสมัครและตนไม่คัดค้านอย่างแข็งขันและเจรจาจนสำเร็จ กัมพูชาจะผนวกเอาพื้นที่ทับซ้อนไปขึ้นทะเบียนด้วยแล้วเราจะแย่กว่านี้ พวกตนเป็นผู้ปกป้องดินแดนไทย
คำแถลงการณ์ร่วมที่ครม.นายสมัครอนุมัติให้ตนไปเซ็นนั้นขณะนี้สิ้นผลไปแล้วตามหนังสือยืนยันของรมต.ต่างประเทศกัมพูชา และตอนที่กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทเป็นมรดกโลกในเดือนก.ค. 2551 นั้น คณะกรรมการมรดกโลกก็ห้ามไม่ให้นำคำแถลงการณ์ร่วมเข้าประกอบการพิจารณาตามที่ไทยขอระงับผลตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลปกครอง แสดงว่าไทยจะสนับสนุนการขึ้นทะเบียนตัวปราสาทหรือไม่ก็ไม่ได้มีความสำคัญเลย กัมพูชาขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทได้อยู่ดี
อย่างไรก็ตาม คำแถลงการณ์ร่วมทำให้กัมพูชายอมรับเป็นครั้งแรกว่ามีพื้นที่ทับซ้อนทั้งๆ ที่ปฏิเสธมาโดยตลอด และโชคดีที่ในการประชุมที่แคนาดาในปี 2551 กัมพูชาขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารโดยไม่เอาพื้นที่ทับซ้อนขึ้นทะเบียนด้วย และโชคดีที่กัมพูชาทำตามแนวทางของแถลงการณ์ร่วมแม้ว่าจะไม่ผูกพันเขาเพราะไทยระงับผลไว้ก็ตาม
2. ในเรื่องปราสาทพระวิหาร กลุ่มพันธมิตรฯ เคยกล่าวหานายอภิสิทธิ์ว่าขายชาติ ตนเป็นคนพูดเองว่านายอภิสิทธิ์ไม่ได้เป็นคนขายชาติ ไม่มีนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศคนไหนจะทำอย่างนั้นแน่
มรดกโลกเดือดนพดลโต้มาร์ค
3. นายอภิสิทธิ์กล่าวในจดหมายฉบับที่ 8 ในเฟซบุ๊คว่า ตนไม่มีสิทธิที่จะมาตำหนิรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์เพราะตนเป็นผู้สร้างความเสี่ยงให้ไทยต้องอยู่ในภาวะอันตรายต่ออธิปไตยของชาติ เนื่องจากเป็นผู้ไปลงนามสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียวในปี 2551 สิ่งที่ควรทำคือการนั่งนิ่งๆ แล้วถามตัวเองว่าได้ทำอะไรลงไปกับประเทศชาติจนทำให้นายอภิสิทธิ์ต้องต่อสู้เพื่อรักษาสิทธิและอธิปไตยของไทยที่ตนกับพวกเกือบจะยกใส่พานให้กัมพูชาไปแล้วหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลเสียก่อนนั้น
นายอภิสิทธิ์ไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้ น่าจะมีวุฒิภาวะและละอายแก่ใจบ้างว่าสิ่งที่รัฐบาลนายสมัครได้ทำไปนั้นก็เพื่อปกป้องดินแดนและพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ไม่ให้กัมพูชาเอาไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก และเจรจาสำเร็จจนกัมพูชายอมตัดพื้นที่ทับซ้อนออกไป รัฐบาลยนายสมัครและตนจึงเป็นผู้ปกป้องดินแดนไม่ได้เป็นผู้ทำให้เสียดินแดนหรือสร้างปัญหาเอาไว้ นายอภิสิทธิ์อุตส่าห์ประดิษฐ์ประดอยถ้อยคำซึ่งเป็นความเท็จและเป็นการใส่ร้ายทั้งสิ้น รัฐบาลนายสมัครและตนไม่เคยยกอธิปไตยใส่พานให้กัมพูชา
4. กรณีที่นายอภิสิทธิ์กล่าวหาว่ารัฐบาลนายสมัครและตนไปสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียวในปี 2551 นั้น นายอภิสิทธิ์พูดความจริงครึ่งเดียว ท่านพูดถูกที่ว่าตนได้ลงนามในคำแถลงการณ์ร่วม แต่ท่านพูดเท็จตรงที่ว่า คำแถลงการณ์ร่วมมีผลเป็นการสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้ จะเห็นได้ว่าการพิจารณาและในมติของที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกในปี 2551 มีการระบุอย่างชัดเจนถึงการไม่อ้างอิง ไม่พิจารณา ไม่คำนึงถึง และห้ามนำแถลงการณ์ร่วมฉบับวันที่ 18 มิถุนายน 2551 มาใช้ประกอบการพิจารณาตามการตัดสินใจของรัฐบาลไทยที่จะระงับแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวตามคำสั่งศาลปกครองกลาง
ดังนั้น จึงสรุปได้ชัดเจนจากเอกสารว่า คณะกรรมการมรดกโลกมีมติขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกโดยพิจารณาจากคุณค่าสากลอันโดดเด่นของตัวปราสาทเอง ไม่เกี่ยวกับแถลงการณ์ร่วมหรือร่างแถลงการณ์ร่วม หรือการสนับสนุนของไทย
นายอภิสิทธิ์เรียนกฎหมายมาน่าจะเข้าใจถึงหลักกฎหมายพื้นฐานในข้อนี้ดีว่า เอกสารที่ห้ามใช้หรือเป็นโมฆะนั้น ย่อมไร้ผลทางกฎหมาย ดังนั้น คำแถลงการณ์ร่วมที่คณะรัฐมนตรีนายสมัครอนุมัติให้ตนไปเซ็นจึงไม่มีผลใดๆ ทางกฎหมายเลย เอกสารคำแถลงการณ์ร่วมจึงไร้ผลทางกฎหมาย ซึ่งแม้แต่ทางกัมพูชาเองก็ยอมรับว่ามันไม่มีผลทางกฎหมายใดๆ เลย เพราะฉะนั้นการกล่าวหาว่าตนไปเซ็นเอกสารและสร้างความเสียหายจึงเป็นการกล่าวหาที่เป็นเท็จโดยสิ้นเชิง
5. นายอภิสิทธิ์ กล่าวในหน้าที่ 2 ของจดหมายฉบับที่ 8 ในเฟซบุ๊คว่า บอกตรงๆ ว่ารู้สึกละอายใจแทนตนที่จนถึงวันนี้ยังไม่ได้สำนึกเลยว่า ต้นตอปัญหาที่รัฐบาลตนสร้างขึ้นกำลังส่งผลร้ายแรง คุกคามชีวิตพี่น้องประชาชนตามแนวชายแดนอย่างที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลยนั้น ตนดีใจที่นายอภิสิทธิ์ก็เป็นคนที่รู้สึกละอายใจได้เหมือนคนทั่วไป แต่แปลกใจว่าตอนที่มีคนตาย 91 คนและบาดเจ็บ เกือบ 2 พันคนนั้น ไม่เห็นท่านรู้สึกเช่นนั้น ไม่เห็นท่านแสดงความรับผิดชอบอะไรเลย
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ไม่ต้องละอายใจแทนตน เพราะรัฐบาลนายสมัครและตนเป็นผู้เจรจาปกป้องดินแดนพื้นที่ทับซ้อน และรัฐบาลนายสมัครและตนไม่ได้สร้างปัญหาไว้อย่างที่นายอภิสิทธิ์กล่าวหา และไม่มีการเสียดินแดนหรือผลร้ายแรงใดๆ นายอภิสิทธิ์เคยออกทีวีช่อง 11 ดีเบทกับกลุ่มพันธมิตรฯ ก็เคยพูดไว้ว่า กัมพูชาขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทและไม่มีการเสียดินแดน ลองไปเปิดเทปดูจะช่วยเตือนความจำได้
6. ในหน้าที่ 2 ของจดหมายฉบับที่ 8 ในเฟซบุ๊ค นายอภิสิทธิ์กล่าวหาด้วยความเท็จว่า รัฐบาลนายสมัครโดยรมว.ต่างประเทศในขณะนั้น ออกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาลงวันที่ 18 มิถุนายน 2551 มีเนื้อหาสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว และยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 หรือแผนที่ฝรั่งเศสให้ใช้เป็นแผนการพัฒนาบริหารจัดการพื้นที่อนุรักษ์รอบปราสาทพระวิหารนั้น ข้อความนี้เป็นเท็จโดยสิ้นเชิง
ไม่มีความตอนใดของคำแถลงการณ์ร่วมที่มีการยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 หรือแผนที่ฝรั่งเศสเลย เพราะทุกคนในกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีต่างประเทศรู้ว่าเราไม่ยอมรับแผนที่ระวางนี้ที่เป็นสาเหตุให้ไทยแพ้คดี จะมีการเขียนถึงก็คือในบันทึกความตกลงปี 2543 ที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ไปเซ็นกับกัมพูชาเท่านั้น
และ 7. ในความตอนล่างของหน้าที่ 2 ของจดหมายฉบับที่ 8 ในเฟซบุ๊ค ที่นายอภิสิทธิ์ระบุว่า มิอาจยับยั้งการใช้แถลงการณ์ดังกล่าวเป็นใบเบิกทางให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารแต่เพียงฝ่ายเดียวได้ เพราะคณะกรรมการมรดกโลกได้มีมติขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียวในวันที่ 8 ก.ค. 2551 เช่นเดียวกันนั้น นายอภิสิทธิ์เขียนให้คนเข้าใจผิดว่าเป็นเพราะคำแถลงการณ์ร่วมจึงทำให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทเป็นมรดกโลกได้ ซึ่งเป็นความเท็จ เพราะเอกสารนี้ไร้ผลทางกฎหมาย และคณะกรรมการมรดกโลกตัดเอกสารนี้ไม่ให้นำเข้าพิจารณา การเขียนของนายอภิสิทธิ์เป็นการเขียนความเท็จที่คิดเอาเอง ไม่มีแหล่งอ้างอิง และเป็นการใส่ร้ายป้ายสีอย่างน่าละอาย
ความจริงยังมีอีกหลายประเด็นที่มีการบิดเบือนในจดหมายฉบับที่ 8 ในเฟซบุ๊คกรณีปัญหาไทย - กัมพูชา ซึ่งตนขอสงวนสิทธิ์ชี้แจงในภายหลัง แต่ในเบื้องต้นนั้นขอชี้แจงประเด็นสำคัญและข้อกล่าวหาที่เป็นเท็จที่ต้องรีบชี้แจงเพื่อขจัดความสับสน
ทั้งนี้ แม้ตนจะไม่มีสิทธิเลือกตั้งแต่ก็อยากเห็นการรณรงค์หาเสียงอย่างสร้างสรรค์ อยากเห็นนักการเมืองและนักการเมืองแต่ละพรรคนำนโยบายและเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาให้ประเทศ ถ้านโยบายพรรคประชาธิปัตย์ดีกว่าประชาชนก็จะสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ถ้านโยบายพรรคเพื่อไทยดีกว่าประชาชนก็จะสนับสนุนพรรคเพื่อไทย ประชาชนคิดเป็นและเลือกเป็น
แต่การที่นักการเมืองเอาความเท็จมาใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นโดยไม่ละอายและไร้ซึ่งวุฒิภาวะนั้นตนไม่เชื่อว่าการทำเช่นนี้จะทำให้ได้คะแนน เพราะเป็นการดูถูกสติปัญญาคนไทยที่ต้องการนักการเมืองที่พูดความจริงทั้งหมด ไม่ใช่พูดความจริงเพียงครึ่งเดียว หรือแย่ยิ่งกว่านั้นคือการเอาความเท็จมาพูด สิ่งที่นายอภิสิทธิ์เขียนในเฟซบุ๊คนั้นเป็นความพยายามที่จะใส่ร้ายป้ายสีตน นายอภิสิทธิ์อาจจะพยายามทำลายเกียรติยศและศักดิ์ศรีของตน ซึ่งตนอดทนได้และอโหสิกรรมให้ นายอภิสิทธิ์อาจจะพยายามเหยีบย่ำตนได้แต่ตนจะไม่ยอมให้นายอภิสิทธิ์เหยียบย่ำทำลายความจริง และตนจะปกป้องความจริงจนสุดกำลัง
ถ้าหากมองเนื้อหาการเขียนจดหมายฉบับที่ 8 ในทางที่ดีนั้น จะแสดงให้เห็นว่านายอภิสิทธิ์อาจเป็นผู้นำที่ไม่ได้ศึกษาหาความรู้และดูความเป็นมาของกรณีปราสาทเขาพระวิหารจากข้อเท็จจริงและเอกสารของราชการ ทั้งๆ ที่บริหารประเทศมาเกือบ 3 ปี แต่ถ้ามองในทางที่แย่ แสดงว่านายอภิสิทธิ์ไร้วุฒิภาวะและความเป็นนายกรัฐมนตรี ทำทุกอย่างเพื่อหวังผลทางการเมือง ใช้แม้กระทั่งความเท็จกล่าวหาผู้อื่นอย่างไร้จริยธรรมของผู้นำ ตนสัญญาจะต่อสู้กับความเท็จและการใส่ร้ายป้ายสีอย่างไม่ย่อท้อ