ศิธาดักคอ คมช.อย่าทำลายฐานเสียงหวังตัดคู่แข่งทางการเมือง

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 25 ธันวาคม 2549 03:49 น.

ศิธา ยันยังรักกันดีกับทหาร ดักคอ สนธิ อย่าทำลายฐานเสียงหวังตัดคู่แข่งทางการเมือง เตือนคมช.เหลิงอำนาจระวังพังเหมือนรสช. ขู่ตัดสิทธิ์กก.บห.พรรค 5 ปี ผิดหลักการกม.กระทบชื่อเสียงประเทศ

ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ว่าเป็นการเจาะฐานเสียงคู่แข่งว่า ในฐานะที่ตนเป็นอดีตส.ส.เขตคลองเตยมานาน หากทหารตั้งใจจะพัฒนาพื้นที่จริงและทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ก็ยินดีและสนับสนุน เพราะตอนนี้ยาเสพติดกลับมาแพร่ระบาดอีก ฝากถึงทหารขอให้ไว้ใจ อย่าคิดว่าสมาชิกพรรคไทยรักไทยทุกคนต้องเป็นศัตรู โดยเฉพาะตน จบการศึกษาสถาบันเดียวกัน เป็นรุ่นพี่รุ่นน้อง ไม่มีทางเป็นศัตรูกันแน่ อีกทั้งตั้งแต่ลาออกจากราชการทหารมา 6 ปี ก็ทำงานในพื้นที่ร่วมกับทหารตลอด เป็นตัวเชื่อมให้กองทัพใกล้ชิดประชาชน เพิ่งจะเหินห่างจากทหาร 3 เดือนหลังการปฏิวัติ เพราะต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตัวเอง บางครั้งอาจต้องให้สัมภาษณ์ตอบโต้บ้าง แต่ก็เลือกเฉพาะประเด็นที่พาดพิงถึงพรรคจริงๆ เช่น กรณีชี้นำว่าพรรคไทยรักไทยจะถูกยุบ การขึ้นบัญชีดำ 200 อดีตส.ส.ของพรรคว่าอยู่เบื้องหลังคลื่นใต้น้ำ ขณะที่บางเรื่องแม้ไม่เห็นด้วย แต่เมื่อไม่เกี่ยวกับพรรค ก็ไม่พูด เช่น ปัญหาภาคใต้ เรื่องงบลับพันกว่าล้านที่ใช้ปฏิวัติ และเรื่องที่บอกว่ากองทัพไทยรบชนะแค่ลาวกับเขมร ดังนั้นอย่ามองว่าตนเป็นศัตรู

หากทุกสิ่งที่ทหารทำ ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจและเพื่อความสมานฉันท์ ทหารก็จะเข้าไปอยู่ในหัวใจประชาชน แต่หากมีความคิดที่จะสืบทอดอำนาจหรือทำลายระบบพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ด้วยการชี้นำว่าพรรคนั้นพรรคนี้จะถูกยุบแน่นอน หรือพยายามทำลายฐานเสียงของพรรคการเมืองเพื่อตัดคู่แข่งทางการเมืองในอนาคต ตรงนี้นอกจากเป็นการกระทำที่ไม่สมานฉันท์แล้ว ยังทำให้สถาบันทหารขาดความเชื่อมั่นจากประชาชน ในที่สุดจะเกิดวิกฤตศรัทธาเหมือนตอนจบของรสช.ได้

ในพรรคการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ทุกคนมีสิทธิเสนอความเห็นและเสนอใครมาเป็นหัวหน้าพรรคได้ พล.อ.ชวลิตเป็นบุคคลที่สมาชิกพรรคให้ความเคารพและยอมรับ จึงเป็นไปได้ที่จะมีคนทาบทามให้เป็นหัวหน้าพรรคคนต่อไป อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้สุดท้ายแล้วขึ้นอยู่กับที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคจะตัดสิน ส่วนที่มองว่าหากพรรคโดนยุบแล้วอดีตกรรมการพรรคจะถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง 5 ปีนั้น พรรคมองว่าไม่น่าจะดำเนินการถึงขั้นนั้น เพราะการตัดสิทธิ์ดังกล่าวอาจขัดต่อหลักการของกฎหมาย เนื่องจากกฎหมายของประเทศสากลทั่วโลก จะไม่มีผลย้อนหลังในทางที่เป็นโทษต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ดังนั้นหากเกิดกรณีนี้ขึ้น จะทำให้ประเทศไทยถูกมองว่าไม่เป็นประชาธิปไตย และขาดความเป็นนิติรัฐ ซึ่งจะกระทบกระเทือนต่อชื่อเสียงของไทยในเวทีโลกได้