เมื่อเวลา 18.00 น.วันที่ 21 เมษายน ที่ห้องฟินิกซ์ บอลรูม อิมแพคอารีน่า เมืองทองธานี
พรรคมาตุภูมิ จัดงานเลี้ยงดินเนอร์เปิดนโยบายพรรคและระดมทุนเพื่อเตรียมการเลือกตั้ง โดยมีคณะกรรมการบริหารและ ส.ส.ของพรรค อาทิ นายมั่น พัธโนทัย รมช.คลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค นายมุข สุไลมาน ส.ส.ยะลา นางฟาริดา สุไลมาน ส.ส.สุรินทร์ นายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ ส.ส.นราธิวาส และสมาชิกพรรคทั่วประเทศร่วมงานประมาณ 500 คน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศในงานเป็นไปอย่างชื่นมื่น โดยมีภาคส่วนต่างๆ ตัวแทนพรรคร่วมรัฐบาล
โดยพรรคประชาธิปัตย์ นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่พรรคภูมิใจไทยได้ส่งนายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทน ต่อมา นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แกนนำพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน เป็นตัวของพรรคมาร่วมแสดงความยินดี ด้านพรรคชาติไทยพัฒนา มี พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรค และนายนิกร จำนง มาร่วมยินดี
จากนั้น เวลา 19.00 น. พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ของพรรคในหัวข้อ “พรรคมาตุภูมิกับการเมืองไทย” ว่า
พรรคขอเป็นหนึ่งในการหาทางคลี่ปมปัญหาให้กับสังคมไทย โดยตนเป็นคนไทยคนหนึ่งที่มีพื้นฐานชายชาติทหาร เลือดเนื้อชีวิตทุ่มเทให้บ้านเมือง ซึ่งบ้านเมืองขณะนี้มีปัญหาวิกฤต ตนยอมรับว่าในอดีตที่ผ่านมาก็เป็นส่วนหนึ่งในการผูกปมปัญหาด้วย วันนี้จึงต้องการอาสามาแก้ปมปัญหานั้น ทั้งนี้ สภาวะปัจจุบัน ปัญหาดังกล่าวกำลังบ่อนทำลายเกียรติภูมิของประเทศ แต่พรรคขอให้ความมั่นใจว่า จะคัดบุคคลที่มีคุณธรรมจริยธรรม รักชาติรักแผ่นดิน ซึ่งตนเชื่อว่า จะทำให้ประเทศเดินไปได้
พล.อ.สนธิกล่าวต่อว่า ปัญหาหลักขณะนี้มี 4 ประการคือ 1.การเมืองการปกครองของประเทศ 2.สภาพสังคมไทยที่ถดถอย 3.ปัญหาเศรษฐกิจ และทรัพยากรมนุษย์ 4.ปัญหาความมั่นคงของประเทศ ซึ่งโจทย์สำคัญคือ จะทำอย่างไรให้ประเทศมีประชาธิปไตยที่มีรูปแบบที่เหมาะสมอย่างที่ควรจะเป็น ส่วนเรื่องความมั่นคงของประเทศ แม้ตนจะถอดเครื่องแบบทหารออกมาเป็นนักการเมืองแล้ว แต่ตนเคยทุ่มเททำให้บ้านเมืองมีเกียรติภูมิศักดิ์ศรี แต่วันนี้เรายังไม่เข้มแข็งพอ ประเทศเล็กๆ ที่เราเคยให้เงินและอาวุธ วันนี้เขาไม่ยำเกรง ทั้งนี้ ในอดีตตนเคยเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยรวมเขมร 4 ฝ่าย แต่เมื่อเหตุการณ์เมษายน 2553 น้องที่ตนเคยช่วยเหลือในกัมพูชา และได้เดินทางมาที่เมืองไทยเมื่อเร็วๆ นี้ ได้โทรศัพท์มาหาตนถามว่า อยู่กรุงเทพฯสบายดีไหม ถ้าไม่สบายก็ให้มาบ้านเขา ซึ่งตนรู้สึกเจ็บและอาย เพราะวันนี้กัมพูชาถึงกับต้องมาชวนตนไปอยู่ ซึ่งแสดงว่า ประเทศไทยไม่มีใครกลัวเกรงแล้ว