"เสธ.แดง" ชี้ไม่มีปฏิวัติ ทหารถูก "ทักษิณ" คุม
"เสธ.แดง" ฟันธง การชุมนุมไม่มีทางบรรลุเป้าหมาย ถ้าไม่มีเหตุจลาจล ชี้ไม่มีปฏิวัติแน่ อ้างกองกำลังหลักทหารใน กทม.ที่มีบทบาทปฏิวัติถูก "ทักษิณ" คุมหมด เผยเหตุแพร่ภาพ "สุจินดา-จำลอง" เข้าเฝ้าฯ ในหลวง ช่วงเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ 2535 เพราะสื่อต้องการเร่งให้ความวุ่นวายจบเร็ว ด้านนักวิชาการลั่น "ทักษิณ" ต้องลาออกและยึดทรัพย์คืนชาติ และไม่เห็นด้วยกับการประนีประนอม เพราะไม่สามารถใช้กับเรื่องศีลธรรม ส่วน "อชิรวิทย์" ย้ำจุดยืนเดิม เน้นประนีประนอมและทางสายกลาง งงรัฐขนม็อบต่างจังหวัดเข้ากรุง
เมื่อวันที่ 13 มีนาคม ที่ห้องประชุมชั้น 5 อาคารเนชั่น มีการจัดเสวนาเรื่อง "ผ่าทางตัน วิกฤติการเมืองไทย" หัวข้อ "วิกฤติมีนา 49 กับโอกาสของความรุนแรงและอำนาจนอกระบบ" โดยมีผู้เข้าร่วมเสวนาคือ พล.ต.ท.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายสุรัตน์ โหราชัยกุล อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก
พล.ต.ท.อชิรวิทย์ กล่าวว่า การแก้ปัญหาบ้านเมืองในขณะนี้ ต้องเดินทางสายกลางเพื่อยุติความขัดแย้ง หันหน้ามาเจรจากัน ส่วนทางออกจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับที่ประชุม ไม่ใช่ต่างคนต่างพูด กระทบกระเทียบกันไปมา เพราะพออยู่ห่างกันคนละที่ การควบคุมอารมณ์ก็ควบคุมไม่ได้ และพูดตอบโต้ผ่านสื่อกันไปมา ตนไม่ได้ขอร้องเฉพาะคนที่ทะเลาะกันเท่านั้น แต่ขอร้องสื่อมวลชนด้วย เพราะถ้าทุกฝ่ายไม่ไปเร่งเร้าให้ตื่นตระหนก ขอให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากันก็จะดี
"อย่างผมถูกด่าทั้งขึ้นทั้งล่อง อะไรที่ผมพูดออกไปเป็นที่พอใจของรัฐบาล ก็จะถูกฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลออกมาด่า แต่พอผมพูดอะไรที่อยู่ตรงข้ามฝ่ายรัฐบาล ก็จะถูกทางรัฐบาลตำหนิ ด่าว่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย ผมเห็นว่าสังคมเราปัจจุบันวิปริตขาดธรรมะในใจ ใครที่เห็นต่างออกไปคือ ศัตรู ใครที่เห็นพ้องต้องด้วยคือพวก อย่างผมพอพูดถึงเรื่องจริยธรรม ฝ่ายรัฐบาลก็เป็นเดือดเป็นแค้น กล่าวหาว่าผมเข้าข้างนายสนธิ ลิ้มทองกุล" พล.ต.ท.อชิรวิทย์ กล่าว
พล.ต.ท.อชิรวิทย์ กล่าวอีกว่า หากมองย้อนไปแล้วทั้งนายสนธิ และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ทั้งสองคนเคยแทบจะจูบปากกัน รวมทั้งพล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และพ.ต.ท.ทักษิณ ก็เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง แต่พอคนเรามีโทสะจริตกลับลืมหมด มนุษย์ทุกคนเป็นพี่น้องกันแล้วจะฆ่ากันทำไม ดังนั้นจึงต้องแก้ปัญหาโดยสันติวิธี ถอยคนละก้าวเพราะเมื่อมีปัญหา ก็จะมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาเสมอ
"ตอนนี้เรามีสติกันบ้างหรือไม่ หรือว่าเราขาดสติ การเดินทางสายกลางไม่ต้องเลือกข้าง ทำให้ทุกฝ่ายไม่ต้องด่าว่ากันแต่ต้องมาเจรจากัน อย่างการที่องค์กรกลางจะจัดให้แต่ละฝ่ายมาดีเบตกันยังตกลงกันไม่ได้เลย แต่เชื่อว่าในที่สุดปัญหาบ้านเมืองตอนนี้ จะจบด้วยตัวของมันเอง เพียงแต่ว่าจะจบลงอย่างไรเท่านั้นเอง" พล.ต.ท.อชิรวิทย์ กล่าว
พล.ต.ท.อชิรวิทย์ กล่าวว่า ตนเห็นการตั้งรับผู้ชุมนุมในวันที่ 5 มีนาคม ของ พล.ต.ต.มาโนช ปทุมวงศ์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 แล้ว ทำให้ภาพหลอนในอดีตสมัย 6 ตุลาคม 2519 ผุดขึ้นมา เพราะว่าการตั้งรับผู้ชุมนุมของตำรวจเข้มงวดเกินไป สำหรับในวันที่ 14 มีนาคม ที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะบุกทำเนียบรัฐบาล ทำให้รู้สึกกลัว เพราะไม่รู้ว่ารัฐบาลคิดอะไรกันอยู่ เนื่องจากมีการนำกลุ่มผู้สนับสนุนจากต่างจังหวัดเข้ามากรุงเทพฯ
โฆษกตำรวจแห่งชาติ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม การที่ตนเสนอให้มีการประนีประนอม ไม่ใช่เข้าข้าง พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ทางสายกลางของตน เพราะไม่ต้องการให้เกิดการฆ่าฟันกัน ส่วนการตอบโต้เรื่องคดีความกันก็ไม่ควรไปพิพากษาบนเวทีหรือด้วยปาก ต้องดำเนินการตามกฎหมาย อะไรที่ พ.ต.ท.ทักษิณทำผิดกฎหมาย ศาลยุติธรรมมีอยู่ ศาลจะไม่พิพากษาตามกระแสสังคม ศาลสั่งอย่างไรทุกคนต้องยอมรับ แต่ทุกวันนี้เราขาดสติ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นทุกฝ่ายมีเหตุผลทั้งสิ้น แต่มีระเบียบแบบแผนอยู่ซึ่งต้องทำตามนั้น
นอกจากนี้ พล.ต.ท.อชิรวิทย์ ยังเห็นว่า กฎหมายยึดทรัพย์ขณะนี้กระบวนการยังทำไม่ได้ เห็นได้จากการยึดทรัพย์นักการเมืองในอดีตก็ทำไม่ได้ และเห็นว่าบ้านเมืองที่เจริญแล้วต้องทำตามกฎหมาย ตนรู้สึกสลดใจกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เพราะทั้งหมดที่ขัดแย้งกันเคยร่วมเป็นร่วมตาย เคยรักใคร่กันมาก่อน หากขอร้องกันดีๆ พูดจากันด้วยความอ่อนหวานบรรยากาศคงคลี่คลายได้ เพราะคนไทยไม่ชอบการบังคับ
"มีทางอื่นเพื่อยุติความรุนแรง เช่น เสนอให้มีคนยอมสักคน เพราะความขัดแย้งไม่ช่วยทำให้สังคมปกติสุข" พล.ต.ท.อชิรวิทย์ กล่าว
นายสุรัตน์ กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของ พล.ต.ท.อชิรวิทย์ เพราะคำว่าประนีประนอมหรือสายกลางสามารถใช้ได้กับเรื่องอุดมการณ์ แต่ไม่สามารถใช้ได้กับเรื่องศีลธรรม ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ทำเกินไปแล้ว ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องออกไปอย่างเดียว
"ในฐานะนักรัฐศาสตร์ ผมเห็นว่าอำนาจที่กำลังเกิดในขณะนี้มันน่ากลัวมาก คือบรรยากาศที่คนไม่กล้าพูด ที่ผ่านมาได้ไปสอนที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ผมก็ได้ไปพูดคุยกับนักศึกษา พบว่ามีนักศึกษาบางคนก็รัก พ.ต.ท.ทักษิณ แต่บางคนก็เกลียด ซึ่งเท่าที่พูดคุยข้อมูลของนักศึกษาสู้ข้อมูลของผมไม่ได้ แต่ผมก็เคารพความคิดของเขา แต่ผมก็สงสัยทำไมนักศึกษาเหล่านี้จึงไม่กล้าแสดงออก นักศึกษาบอกว่าที่นี่เขาอุ้มนายกฯ กัน แต่ข้อเท็จจริงอุ้มจริงหรือไม่ ไม่ทราบ" นายสุรัตน์ กล่าว
นายสุรัตน์ กล่าวว่า ตนเชื่อในสิ่งที่ตนเองเชื่อบนพื้นฐาน เช่น กรณีการทุจริตเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด รุ่นซีทีเอ็กซ์ ที่สนามบินสุวรรณภูมิ คดีนี้ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้นำมาสอนนักศึกษากฎหมายจนกลายเป็นคดีศึกษาตัวอย่าง ขอถามว่าในเรื่องซีทีเอ็กซ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่รู้เลยหรือ อย่างไรก็ตามตนต้องเชียร์ฝ่ายพันธมิตร พ.ต.ท.ทักษิณ ร่ำรวยผิดปกติ ถ้าวันไหนล้มต้องยึดทรัพย์นำมาให้ประเทศชาติ
"ผมสงสัยทำไม อ.สันกำแพง กับ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ชาวบ้านไม่สามารถพูดอะไรได้เลย เพราะมีกำนัน ผู้ใหญ่บ้านทำตัวเป็นกองสอดแนมของรัฐบาล คล้ายกับพวกเกสตาโป สมัยฮิตเลอร์" นายสุรัตน์ กล่าว
นายสุรัตน์ กล่าวว่า ในฐานะนักวิชาการหน้าที่ของตนมีสิทธิวิพากษ์วิจารณ์ ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นนายชวน หลีกภัย นายบรรหาร ศิลปอาชา และพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ตนก็วิพากษ์วิจารณ์หมด ตนไม่มีผลประโยชน์อะไร เงินเดือนอาจารย์หมื่นกว่าบาทก็จ่ายภาษีตลอดไม่มีซิกแซก ดังนั้นศาสนาพุทธน่าจะไว้วางใจและรับรองคนอย่างตนมากกว่า อีกทั้งตนไม่เคยไปฆ่าใคร อยากรู้ว่าศาสนาพุทธจะเข้าข้างใครระหว่างตนกับคนโกง ผมไม่เชื่อว่าศาสนาพุทธจะให้ความยุติธรรมกับความเลวทราม
ด้าน พล.ต.ขัตติยะ กล่าวว่า ในส่วนของทหารไม่รู้เรื่องการเมือง เรื่องหุ้นก็ไม่รู้เรื่อง เพราะทหารไม่เล่นหุ้น ทหารเล่นแต่แชร์ ถ้าคนปล่อยกู้เสียชีวิตจึงจะเป็นเรื่องใหญ่สำหรับทหาร เนื่องจากไม่รู้ว่าจะไปกู้เงินกับใคร และที่ผ่านมาทหารไม่ได้ออกมาเคลื่อนไหวเรื่องการเมืองเลย ทหารรู้เพียงอย่างเดียว คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ขึ้นเงินเดือนให้มาแล้ว 2 ครั้ง ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ กับกองทัพก็ไม่ได้มีความขัดแย้งกัน โดยหลักกองทัพก็เป็นเครื่องมือของรัฐบาลอยู่แล้ว
ส่วนแนวโน้มการเกิดความรุนแรงถึงขั้นจะมีการปฏิวัติโดยทหารหรือไม่นั้น พล.ต.ขัตติยะ กล่าวว่า ไม่เกิดขึ้น เพราะจะไม่มีกลุ่มกระทิงแดง ไม่มีนักเรียนช่างกล ไม่มีนักเรียนอาชีวะออกมาเผาสถานที่ราชการ เพราะทุกวันนี้วัยรุ่นไม่ได้สนใจเหตุการณ์บ้านเมือง ดูแต่ละครน้ำเน่า สนใจแต่เรื่องของตัวเอง และทหารจะฟังคำสั่งอยู่ 4 คน คือ รมว.กลาโหม ปลัด กลาโหม ผบ.สส.และ ผบ.ทบ.เท่านั้น และหน่วยทหารซึ่งเป็นกำลังรบหลักๆ ในกรุงเทพฯ ที่มีบทบาทในการเคลื่อนไหวในอดีต ปัจจุบันคนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ดูแลหมด
"ตราบใดที่การชุมนุมไม่มีการสร้างเงื่อนไขความรุนแรงขึ้น โดยใช้วิธีอหิงสาอย่างที่เป็นอยู่ ต้องใช้เวลาเคลื่อนไหวเป็น 100 ปี จึงจะสำเร็จ" พล.ต.ขัตติยะ กล่าว
ส่วนกรณีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจนำภาพที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรียก พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กับ พล.อ.สุจินดา คราประยูร เข้าพบนั้น พล.ต.ขัตติยะ กล่าวว่า ดูเหมือนว่าสื่อต้องการจะกระตุ้นเหตุการณ์ให้จบเร็วขึ้น และดูเหมือนตอนนี้สื่อไม่เข้าข้าง พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว หลังจากก่อนหน้านี้สื่อถูกมองว่าถูกควบคุมโดยรัฐบาล