“สุเทพ”สั่งงดนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบจาก ตปท.

วิกฤติน้ำมันปาล์มคลี่คลาย“สุเทพ”สั่งงดนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบแยกไขจากตปท.แล้วซื้อในประเทศแทนย้ำไม่ขาดแคลนแน่

วันนี้ 8 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  ที่ทำเนียบรัฐบาล เวลา 17.45 น. นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ซึ่งมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ เป็นประธานโดยใช้เวลาหารือร่วมกันเกือบ 4 ช.ม. ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาสถานการณ์น้ำมันปาล์มเพื่อการบริโภค น้ำมันปาล์มเพื่อใช้ในอุตสาหกรรม รวมถึงผลผลิตปาล์มน้ำมัน ซึ่งพบว่าขณะนี้สถานการณ์การขาดแคลนน้ำมันปาล์มเริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นแล้ว ดังนั้นที่ประชุมจึงเห็นควรว่าไม่จำเป็นต้องนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบแยกไขจากต่างประเทศ เข้ามาเพิ่มเติมอีกแต่อย่างใด แต่กำหนดให้โรงกลั่นน้ำมันรับซื้อน้ำมันดิบแยกไขจากโรงสกัดในประเทศเป็นจำนวน 40,000 ตันแทน โดยรัฐจะชดเชยราคาให้ในราคาลิตรละ 2.50 บาทจากราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลก
 
ขณะเดียวกันยังมีปริมาณน้ำมันดิบที่นำเข้ามาในรอบที่แล้ว 30,000 ตัน คงเหลืออยู่ ประกอบกับภายในเดือนมี.ค.นี้จะมีผลผลิตของน้ำมันปาล์มดิบออกมาเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 150,000 ตัน จึงเพียงพอกับความต้องการใช้ในประเทศแน่นอน ขณะเดียวกันก็เชื่อว่าปริมาณผลปาล์มดิบที่จะออกมาในเดือนมี.ค.นี้จะมีราคาประมาณ 6-7 บาท ซึ่งแนวทางทั้งหมดนี้จะทำให้ทั้งเกษตรกร ผู้ประกอบการ และผู้บริโภคไม่ได้รับความเดือดร้อน
ใด ๆ โดยกระทรวงพาณิชย์จะดูแลการกระจายน้ำมันปาล์มทั้งหมดให้ครอบคลุมผู้ใช้ทุกกลุ่มและทั่วประเทศ รวมถึงยี่ปั๊ว ซาปั๊ว ต่างๆด้วย
 
อย่างไรก็ตามแม้ว่าขณะนี้ยังมีประชาชนร้องเรียนว่าไม่สามารถหาซื้อน้ำมันปาล์มเพื่อการบริโภคได้ในราคาที่ขวดละ 47 บาทนั้น ต้องขอทำความเข้าใจกับประชาชนทุกคนว่าราคาสุดท้ายที่จะถึงมือผู้บริโภคนั้นต้องมีราคาที่ 47 บาทเท่านั้น ดังนั้นจึงต้องดูว่าผู้ที่ร้องเรียนนั้นไปซื้อสินค้าจากกลุ่มไหนและใครเป็นผู้ขาย เพราะที่ผ่านมาประชาชนในรอบนอกมักจะนิยมบริโภคน้ำมันหมูมากกว่า โดยยืนยันว่ากระทรวงพาณิชย์ได้ดูแลการกระจายน้ำมันปาล์มเพื่อการบริโภคอย่างทั่วถึง
 

นายยรรยง กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้สถานการณ์ราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลกได้ลดลงอย่างมากแล้วทำให้การใช้เงินงบประมาณของรัฐเพื่อนำไปชดเชยให้กับโรงกลั่นน้ำมันเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำมันปาล์ม วงเงิน 200 ล้านบาท นั้นลดลงเหลือเพียงประมาณ 178 ล้านบาทเท่านั้น และเชื่อว่าในการชดเชยรอบใหม่ที่ให้ซื้อในประเทศนี้จะใช้เงินไม่เกิน 150 ล้านบาทแน่นอน