เผยรู้700แกนนำป่วนภาคใต้ สุรยุทธ์ยันไม่มีปักธงรัฐปัตตานี

รองผบก.ศปก.ตร เผยมีรายชื่อแกนนำป่วนใต้คนสำคัญอยู่ในมือ 700 ราย รวบแล้ว 250คน แฉยุทธการคนร้ายแบ่ง 3 กลุ่มลงมือก่อเหตุสร้างสถานการณ์พุ้งเป้าชิงอาวุธ เตรียมถกอธิบดีผู้พิพากษาปรับกระบวนการพิจารณาคดีไฟใต้ให้เร็วขึ้น หวังใช้บทลงโทษสกัดแนวร่วมวัยรุ่นออกป่วนพื้นที่ "สุรยุทธ์ " ยันไม่มีการปักธงรัฐปัตตานีในพื้นที่ภาคใต้แน่

(12ธ.ค.) พล.ต.ต.วีระยุทธ สิทธิมาลิก รอง ผบช.ตร.ภาค9 และ รองผบก.ศปก.ตร.(สน.) เปิดเผยระหว่างการประชุมกองอำนวยการเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้พบสื่อมวลชน ที่โรงแรม เจ.บี.หาดใหญ่ เกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ที่ผ่านมาในอดีตแทบจะไม่รู้ว่าสถานการณ์ชายแดนภาคใต้ รัฐกำลังต่อสู้อยู่กับใคร

"ปัจจุบันนี้ขอยืนยันว่าเรามีรายชื่อแกนนำระดับก่อการอยู่ในมือแล้ว 700คน ซึ่งไม่ใช่ลูกน้องระดับปลายแถว หรือแนวร่วมที่ออกก่อเหตุรายวัน และที่สำคัญแกนนำระดับสำคัญเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวได้แล้วจำนวน 250 คน ซึ่งเราเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2547เพียงแต่ไม่มีใครสนใจความเคลื่อนไหวในมุมนี้มาก่อน"พล.ต.ต.วีระยุทธ กล่าวและว่า

สิ่งที่ได้พุดคุยกับแกนนำผู้ก่อความไม่สงบเหล่านี้ทำให้รับรู้ว่าการสร้างสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ ขณะนี้มาจากการให้ความสำคัญผิดและสิ่งที่เขาเชื่อ โดยเฉพาะอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนนั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

พล.ต.ต.วีระยุทธ กล่าวด้วยว่า ขณะนี้จึงได้เร่งปรับทิศทางการดำเนินงานในเรื่องกระบวนการยุติธรรมในส่วนของคดีความไม่สงบ โดยได้เตรียมหารือร่วมกับอธิบดีผู้พิพากษาศาล เพื่อให้กลไกสามารถดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วและเที่ยงธรรม

ทั้งนี้เชื่อว่าความรุนแรงส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ขณะนี้เป็นเพราะผู้ก่อความไม่สงบ เกิดความย่ามใจและไม่เห็นถึงบทลงโทษที่รุนแรงต่อผู้กระทำผิด ฉะนั้นจำเป็นจะต้องเข้าไปขับเคลื่อนในเรื่องนี้ เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามรับรู้ว่า กฏหมายและบทลงโทษ หรือกติกาของสังคม ยังคงมีอยู่ และไม่ได้ปล่อยปละให้ก่อเหตุได้ตามอำเภอใจ

อย่างไรก็ตามจากสถิติการรวบรวมข้อมูลตำรวจ หทาร และประชาชน ถูกผู้ก่อความไม่สงบประทุสร้ายร่างกายตั้งแต่ปี 2547 ถึงปัจจุบันพบว่าามีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ

ปี 2547 มีข้าราชการตำรวจถูกทำร้าย จำนวน 168 นาย ทหาร 72 นาย และประชาชน 565คน ต่อมาในปี 2548 มีตำรวจถุกทำร้าย 167 นาย ทหาร 41 นาย และประชาชน 1,361 คน กระทั่งปี 2549 ข้อมูลล่าสุดตำรวจถูกทำร้ายแล้ว 172 นาย ทหาร 178 นาย และประชาชน 1,483คน

จากข้อมูลดังกล่าว สามารถแบ่งกลุ่มผู้ลงมือสร้างสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ออกเป็น 3 กลุ่มคือ 1.กลุ่มก่อเหตุรุนแรง โดยใช้อาวุธสงครามหนักในการสร้างสถานการณ์ จะมี 6-7คน เป้าหมายคือ ทหาร ตำรวจ และฐานปฏิบัติการณ์ที่ตั้งในชุมชน มุ่งเข้าฉกและยึดอาวุธเจ้าหน้าที่หลังก่อการ โดยใน 3 จังหวัด กลุ่มนี้จะมีประมาณ 4 ทีม ซึ่งจะเคลื่อนไหวและตระเวณก่อเหตุไปทั่ว โดยมีปัจจัยที่สำคัญคือเหยื่อหรือเป้าที่จะลงมือก่อเหตุในแต่ละครั้งทำให้การสกัดและติดตามความเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างยากลำบาก

กลุ่มที่ 2 คือพวกที่ใช้อาวุธปืนสั้น หรือปืนพก ในกลุ่มจะมี 6 คน โดยแบ่งทีมทำงานด้วยการส่งมือปืน 2 คนแรกเข้าไปสังหารเป้าหมาย อีก 2 คน คอยทำหน้าที่เข้าแกชิงอาวุธของเจ้าหน้าที่ซึ่งถุกทำร้าย ส่วนคนที่เหลืออีก 2 รายคอยดูต้นทางหรือระวังหลัง หรือที่เรียกันติดปากว่า กลุ่ม อาร์เคเค

และกลุ่มที่ 3 คือกลุ่มวัยรุ่นที่ก่อเหตุทั่วไป ก่อความไม่สงบด้วยความคึกคนอง เป้าหมายคือคนไร้ทางสู้เช่นพระภิกษุสงฆ์ ครู คนชรา คนพิการ ชาวบ้าน และกลุ่มนี้จะเช็คเหยื่อทุกครั้งก่อนลงมือว่าจะประสบผลในการก่อเหตุร้อยเปอร์เซ็นต์เท่านั้นจึงจะออกปฏิบัติการ

เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 12 ธันวาคม พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้และมีข่าวว่าชาวไทยพุทธได้ทยอยออกจากพื้นที่อย่างต่อเนื่องนั้น วันนี้ยังไม่มีการรายงานเข้ามา แต่ตนได้ติดตามจากการประสานงานกับนายพระนาย สุวรรณรัฐ ผอ.ศอ.บต. ซึ่งก็ยังมีปัญหาที่รัฐบาลต้องแก้ไขในเรื่องการบริหารงานในการให้ตำแหน่งที่เหมาะสมในการอนุมัติอัตรากำลัง

"ทั้งนี้เนื่องจากขณะนี้ ก.พร.และ ก.พ.ยังไม่สามารถดำเนินการให้ลุล่วงตามมติของครม.ที่ได้ประชุมในวาระพิเศษ ทั้งเรื่องอัตราและจำนวนคน ที่ไม่สามารถอนุมัติให้กับ ศอ.บต.ได้ ผมก็ต้องหาทางแก้ไขต่อไป อย่างไรก็ตามการย้ายออกนอกพื้นที่ของชาวไทยพุทธขณะนี้นั้น ผมยังไม่ได้รับการยืนยัน" นายกรัฐมนตรี กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามถึงข่าวที่ระบุว่ากลุ่มผู้ก่อความไม่สงบได้ปักธงรัฐปัตตานีในพื้นที่แล้วรัฐจะมีแนวทางสกัดกั้นอย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า "เราคงไม่ได้ไปสกัดกั้น เราคง พิสูจน์ทราบตามข้อเท็จจริง คือไม่ได้มีการปักธงอย่างที่เป็นข่าว อาจเป็นเพียงการพูดจา เป็นเอกสารใบปลิวต่าง ๆ เหมือนอย่างที่ตนโดนตั้งค่าหัว ก็เป็นเรื่องธรรมดา"

อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงที่ติดตามความเคลื่อนไหวกลุ่มผู้ก่อเหตุความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พบเบาะแสว่า ทางแกนนำกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้เรียกแกนนำคนสำคัญของกลุ่มขบวนการณ์ต่างๆ จำนวนหลายคน ได้เข้าร่วมประชุมหารือกับเครื่อข่ายในต่างประเทศ ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ.2549 ที่ผ่านมา เพื่อหาตัวผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งสำคัญๆ ต่างๆ ในรัฐบาลเงาของรัฐปัตตานีดารุสสลาม

โดยเฉพาะการรับมอบหมายภารกิจที่สำคัญต่างๆ ให้กับบุคคลระดับแกนนำอาร์.เค.เค.ในพื้นที่ภาคใต้ เพื่อลงมาปฏิบัติภารกิจหลักด้านการโจมตีเจ้าหน้าที่ระลอกใหม่ เพื่อสานต่อภารกิจแบ่งแยกดินแดนให้ได้ในช่วงเวลาที่กำหนดไว้ พร้อมทั้งจัดกองกำลังที่ผ่านการฝึกฝนด้านการรบแบบจรยุทธโจมตีระยะประชิดตัวมาอย่างดีเพื่อกระจายประจำการตามพื้นที่ต่างๆใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวนกว่า 300 คน โดยผ่านการฝึกจากครูฝึกระดับยศพันเอกคนหนึ่งจากประเทศอินโดนีเซียมากกว่า 1 ปี ที่ผ่านมา ท่ามกลางกระแสข่าวที่แพร่สะพัดออกมาอย่างต่อเนื่องในห้วงที่ผ่านมา

สำหรับผู้ที่จะได้รับตำแหน่งสำคัญๆ ในรัฐบาลเงาของรัฐปัตตานีดารุสสลามนั้น จะต้องเป็นผู้ที่จบการศึกษามาจากต่างประเทศลิเบีย อินโดนีเซีย ปากีสถาน มาแล้วอย่างน้อย 5 ปี และจะได้รับการพิจารณาเสนอเข้าที่ที่ประชุมเป็นอันดับต้นๆ แต่จะต้องผ่านการฝึก และทดสอบความรู้ความความสามารถก่อน เช่น ความรู้เบื้องต้นการก่อวินาศกรรม การผลิตและลอบวางระเบิด รวมถึงเทคนิคต่างๆ ในการประกอบอาวุธยุทธโธปกรณ์ที่สำคัญๆ ที่ใช้ในสนามรบหรือสถานการณ์สงครามจะถูกทามบทามให้ดำรงตำแหน่งในระดับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บังคับการตำรวจ

ส่วนกลุ่มชายฉกรรจ์อายุตั้งแต่ 18 - 25 ปี ที่ผ่านการฝึกฝนภาคสนามแล้วจะถูกแต่งตั้งเป็นระดับหัวหน้ากองกำลังกลุ่มต่างๆ ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เทียบเท่ากับยศพันเอก แล้วแต่อายุการทำงานของแต่ละคน ส่วนกลุ่มวัยรุ่นในระดับแนวร่วมจะถูกบรรจุเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองในระดับท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่แทน โดยจะมีบัตรรับรองจากกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ออกให้