ทรท.ท้าเปิด200สส.เดินเกม´แม้ว´กลับยื่นเป็นพยานให้ศาลเรียก

ไทยรักไทยเต้น แบล็กลิสต์ 200 อดีต ส.ส. "จาตุรนต์" ขัดคอพูดผิดพูดใหม่ ปลุกความหวาดระแวงแทนสมานฉันท์ เอื้อประโยชน์พรรคคู่แข่งในการเลือกตั้งครั้งหน้า

เหมือนกำหนดแล้วว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลใหม่ เตือน คมช.ลุแก่อำนาจจะถูกประชาชนขับไล่ ปชป.ไม่เชื่อ "ทักษิณ" รู้แพ้ แม่ทัพภาค 1 ชี้ม็อบกร่อยเพราะประชาชนฉลาดขึ้น ทีมกฎหมาย ทรท.โหนคดียุบพรรคแหวกช่องให้อดีตหัวหน้ากลับใส่ชื่อ "แม้ว" พยานปากเอก

ได้เกิดแรงกระเพื่อมจากพรรคไทยรักไทยขึ้นมาทันที กรณีอดีต ส.ส.ของพรรคถูกขึ้นบัญชีดำกว่า 200 คน นายจาตุรนต์ ฉายแสง รักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวเมื่อวันที่ 11 ธันวาคมนี้ ว่าไม่อยากเชื่อว่า พล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 1 จะพูดเช่นนั้น แต่ถ้าพูดไปแล้วก็ยังสามารถพูดใหม่ได้ เรียกว่าพูดผิดพูดใหม่ได้ เพราะการที่พูดว่าขึ้นบัญชีดำอดีต ส.ส.กลุ่มอำนาจเก่า ก็ย่อมหมายถึงอดีต ส.ส.ไทยรักไทย จะทำให้เกิดบรรยากาศความหวาดระแวง เป็นการปกครองที่สร้างแต่ความหวาดกลัวและไม่สมานฉันท์ ไม่ตรงกับนโยบายของประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และนายกรัฐมนตรี

"อยากถามท่านทั้งสองว่ามีนโยบายอย่างไรแน่ ถ้ามีนโยบายสมานฉันท์และจะปกครองโดยยึดหลักกฎหมายบ้านเมือง ก็ควรห้ามปรามผู้ใต้บังคับบัญชาเสียบ้าง"

นายจาตุรนต์กล่าวว่า ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีประกาศยกเลิกบัญชีดำใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะมีแต่ทำให้คนอยู่ด้วยความหวาดระแวง แต่กลับมาขึ้นบัญชีดำอดีต ส.ส.ทั่วประเทศ จะให้เข้าใจอย่างไร นอกจากนี้ ทั้งประธาน คมช.และนายกฯ ก็มักพูดถึงการเลือกตั้งต้องบริสุทธิ์ยุติธรรม แต่ถ้าเอาการกระทำต่ออดีต ส.ส.ไทยรักไทยมาปะติดปะต่อกันแล้ว ก็ทำให้สงสัยว่ากำลังหวังผลอย่างไรต่อการเลือกตั้งกันแน่

รักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทยกล่าวว่า 2 เดือนมานี้ มีอดีต ส.ส.ไทยรักไทยเพียงพรรคเดียวที่ออกเยี่ยมเยียนชาวบ้านไม่ได้ พบประชาชนไม่ได้ ถูกห้ามปรามทันที มาวันนี้ถูกขึ้นบัญชีดำอีกก็ยิ่งไปกันใหญ่ ต่อไปคนก็จะกลัวที่จะสนับสนุนอดีต ส.ส.ไทยรักไทย และอดีต ส.ส.เองก็คงไม่กล้าสังกัดพรรคไทยรักไทย อย่างนี้ย่อมเป็นประโยชน์ต่อพรรคการเมืองที่เป็นคู่แข่งอย่างชัดเจน เท่ากับไม่เป็นกลางทางการเมือง ผู้มีอำนาจกำลังกำหนดให้ใครได้เป็นผู้แทนราษฎร และเท่ากับกำหนดว่าจะให้ใครเป็นรัฐบาลนั่นเอง เช่นนี้แล้วการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นจะบริสุทธิ์ยุติธรรมได้อย่างไร

นายจาตุรนต์กล่าวว่า พรรคไทยรักไทยได้ประกาศชัดเจนแล้วว่า เมื่อการรัฐประหารได้สำเร็จไปแล้ว พรรคก็ไม่มีนโยบายต่อต้านล้มล้างคณะรัฐประหารอีก แต่จะต่อสู้เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยกลับคืนมา ทว่าฝ่ายความมั่นคงยังแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ สร้างข่าวสร้างภาพเหมือนกับว่าไทยรักไทยจะไปล้ม คมช. หรือรัฐบาล

"พวกนี้ไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์จึงหลงทิศผิดทาง ไม่รู้หรือว่าคณะรัฐประหารและพวกเผด็จการนั้นไม่เคยล้มไปเพราะนักการเมืองหรือพรรคการเมือง แต่ล้มไปโดย 2 ทางคือ การรัฐประหารกันเอง หรือไม่ก็โดยประชาชน พรรคการเมืองและนักการเมืองจะล้มรัฐบาลได้ก็ต่อเมื่อมีสภาผู้แทนราษฎรอยู่เท่านั้น เพราะฉะนั้นขอให้ผู้มีอำนาจไประวัง 2 สาเหตุนี้ให้ดีเถิด ในหมู่พวกท่านด้วยกันเองใครคิดอย่างไรนั้นเราไม่ทราบได้" นายจาตุรนต์กล่าว

นายจาตุรนต์กล่าวว่า รัฐบาลและ คมช. มีวิธีป้องกันไม่ให้ประชาชนล้มท่านก็คือ 1.ต้องอย่าลุแก่อำนาจ 2.แก้ปัญหาของประชาชนให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่สร้างปัญหาใหม่ๆ ขึ้น 3.อย่าปล่อยให้มีการทุจริตหาประโยชน์แก่พวกพ้อง 4.รีบคืนอำนาจให้ประชาชนโดยเร็ว และอย่าสืบทอดอำนาจเผด็จการ

นายจาตุรนต์กล่าวว่า รัฐบาลและ คมช. มีวิธีป้องกันไม่ให้ประชาชนล้มท่านก็คือ 1.ต้องปกครองด้วยความเป็นธรรม อย่าลุแก่อำนาจ 2.แก้ปัญหาของประชาชนให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่สร้างปัญหาใหม่ๆ ขึ้น 3.อย่าปล่อยให้มีการทุจริตหาประโยชน์แก่พวกพ้อง 4.รีบคืนอำนาจให้ประชาชนโดยเร็ว และอย่าสืบทอดอำนาจเผด็จการ

"ถ้าท่านทำได้อย่างนี้ใครก็ล้มท่านไม่ได้ แต่ถ้าท่านสอบตกในเรื่องเหล่านี้ ประชาชนก็จะล้มท่านไม่ว่าท่านจะมีกำลังอาวุธเข้มแข็งเพียงใดก็ตาม"

นายสุทิน คลังแสง รองโฆษกพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า คำพูดของแม่ทัพภาคที่ 1 เรื่องขึ้นบัญชีดำอดีต ส.ส.กลุ่มอำนาจเก่ากว่า 200 คน ตนยังมองว่าเป็นการปรามมากกว่า แต่วันนี้ทั้ง คมช.และรัฐบาลไม่ควรวิตกอะไรมากขนาดนั้น เท่าที่รู้ก็ไม่มีอะไรหรือการเคลื่อนไหวใด เพราะคนที่เป็นอดีต ส.ส.มีวิถีชีวิตปกติพบปะชาวบ้านเพื่อเตรียมหาเสียงไว้เลือกตั้งสมัยหน้า จึงอยากให้แยกแยะดูรายละเอียดดีๆ ว่ามีพฤติกรรมพิเศษในการเคลื่อนไหวปลุกระดมต่อต้าน คมช.หรือไม่ ถ้าหากพบมีการปลุกระดมจริง ก็ขอให้ดำเนินการตามกระบวนการกฎหมาย ไม่อยากให้ออกมาพูดเหมารวมอย่างนี้ ไม่เป็นผลดีต่อการทำให้เกิดบรรยากาศสมานฉันท์

น.ต.ศิธา ทิวารี โฆษกพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า ความกังวลของแม่ทัพภาคที่ 1 ค่อนข้างรุนแรง สิ่งต่างๆ ที่ คมช.ดำเนินการไปเพื่อความสมานฉันท์ถือว่าเสร็จสิ้นไปแล้ว การแก้ปัญหาต่างๆ ของประเทศที่ต้องทำต่อเนื่องจากการปฏิวัติก็กำลังดำเนินไปได้ด้วยดี ในส่วนของพรรคการเมืองต่างๆ ก็นิ่งเฉยและเฝ้าดูการทำงานของ คมช.และรัฐบาล รอดูรัฐธรรมนูญฉบับ คมช.ที่จะดีขึ้นหรือเทียบเท่า หรือเลวลงกว่าเดิม ต่างคาดหวังว่าจะมีการเลือกตั้งที่ในอีก 9 เดือนข้างหน้าตามสัญญาประชาคมที่ คมช.ให้ไว้ คงไม่มีใครเคลื่อนไหวเพื่อสร้างความชอบธรรมในการต่ออายุให้คณะปฏิวัติ

"ทฤษฎีหมอผีที่ต้องการสร้างความน่ากลัวให้ประชาชน เพื่อสืบทอดอำนาจในการปกครองเผ่าของคนป่า ถือว่าเป็นอารยะย้อนยุค ไม่ควรนำมาใช้ในปัจจุบัน รวมถึงขณะนี้สถาบันทหารกำลังได้รับการยอมรับจากประชาชน แต่หากการดำเนินการใดๆ ที่มีเจตนารมณ์อื่นแอบแฝงจนกระทั่งเลยธงของการสมานฉันท์ อาจทำให้กระแสความนิยมของพี่น้องประชาชนลดน้อยลง หรือตีกลับได้ ซึ่งทหารควรจะนำภาพต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นในสมัย รสช.มาเป็นบทเรียน ถ้าจำกันได้ว่าทหารไม่สามารถสวมเครื่องแบบเดินบนท้องถนนได้ หรือไม่กล้าแม้กระทั่งติดตราของหน่วยทหาร" น.ต.ศิธากล่าว

น.ต.ศิธากล่าวว่า หากมีรายชื่ออดีต ส.ส.เป็นแกนนำเคลื่อนไหวจริง ถือว่าเป็นความผิดรุนแรง ในบรรยากาศสมานฉันท์และปีมหามงคลเช่นนี้ ดังนั้นขอให้แม่ทัพภาคที่ 1 นำรายชื่ออดีต ส.ส. 200 คนมาเปิดเผยโดยเร็วที่สุด เพื่อประณามกลุ่มบุคคลดังกล่าว และต้องดำเนินคดีให้ถึงที่สุดโดยไม่มีการอภัยโทษ ตนยังศรัทธาในการทำงานของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน คมช. จึงอยากฝากให้ช่วยกำกับดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาที่พยายามเอาใจนายจนเลยธงของความสมานฉันท์ หรืออาจมีเจตนาแอบแฝงเพื่อต้องการสืบทอดอำนาจกันแน่

นายเอกพร รักความสุข กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า คนมีหน้าที่ทำงานก็ทำให้ดี อย่าดีแต่พูด หลักการสำคัญของบ้านเมืองต้องทำไปตามหลักการ ถ้ายังออกมาพูดเช่นนี้เหมือนไม่มีระบบ ยิ่งทำให้เกิดความไม่มั่นใจ ถ้ายังหวาดระแวงพูดจายั่วยุไม่สมกับขิงแก่ก็อันตราย เพราะคนจะไม่เชื่อในข่าวสารที่มีความขัดแย้งกันเอง

นายสุรชัย เบ้าจรรยา คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดการขึ้นบัญชีดำ แต่ถ้าเป็นจริง การออกมาพูดก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ส.ส.ไทยรักไทยก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรอยู่แล้ว ส่วนการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่นายจาตุรนต์ระบุว่ามีความพยายามกำหนดให้นายกรัฐมนตรีไม่ต้องมาจากการเลือกตั้ง ขอเตือนว่าหากรัฐธรรมนูญเป็นเช่นนี้ จะก่อให้เกิดผลเสียต่อประเทศ เพราะไม่มีประเทศไหนเขาทำกัน นายกรัฐมนตรีควรมาจากการเลือกตั้ง

นพ.สุทธิชัย จันทร์อารักษ์ อดีต ส.ส.ยโสธร พรรคไทยรักไทย กลุ่มพ่อมดดำ กล่าวว่า จริงหรือที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ระบุว่าทหารไม่อยากยุ่งการเมือง เพราะจากประวัติศาสตร์ เริ่มจากปี 2475-2500 ยุคนั้นเป็นยุคทหารครองประเทศ 22 ปีครึ่ง จากนั้นในปี 2500-2516 ทหารยึดครองประเทศทั้งหมดด้วยการใช้กระบอกปืน ปี 2516-2519 มีการปฏิวัติโดยประชาชน แต่หลังปี 2519 ทหารก็ปฏิวัติยึดอำนาจอีก ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2520-2530 มีทหารถึง 2 คนเป็นนายกรัฐมนตรี คือ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ และ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ จากนั้นจึงเป็นการเมืองที่หัวหน้าพรรคที่เป็นพลเรือนได้เป็นนายกฯ ดังนั้น ที่ทหารบอกว่าไม่อยากยุ่งกับการเมือง จึงไม่เป็นความจริง

"การอ้างว่าขณะนี้กองทัพไทยรบชนะได้แค่เขมรและลาวนั้น การพูดเช่นนี้เป็นการดูถูกทั้ง 2 ประเทศและตัวเราเอง เพราะการชนะสงครามไม่ได้อยู่ที่ยุทธปัจจัยในกองทัพ แต่อยู่ที่ความสามัคคีของคนในชาติ วิธีคิดเช่นนี้ถือว่าคิดผิด ขณะนี้ภัยของประเทศได้แก่ความยากจน ความไม่เป็นธรรมทางสังคม ตรงนี้คือสงครามที่เราต้องทำ ไม่ใช่ไปแย่งชิงประเทศ ดังนั้นการเมืองกับทหารจึงต้องไปพร้อมๆ กัน ไม่ใช่เน้นไปด้านใดด้านหนึ่ง" นพ.สุทธิชัยกล่าว

ขณะที่ พล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 1 ผู้ออกมาเปิดเผยเรื่องขึ้นบัญชีดำอดีต ส.ส.กลุ่มอำนาจเก่า ก็ออกมาให้สัมภาษณ์อีกครั้งถึงการชุมนุมที่สนามหลวงเมื่อเย็นวันอาทิตย์เพื่อต่อต้าน คมช.และรัฐบาล ว่าการชุมนุมมีความเรียบร้อยดี ไม่มีสถานการณ์รุนแรงใดๆ แสดงให้เห็นว่าประชาชนคนไทยเริ่มฉลาดมากขึ้น รู้ว่าควรจะต้องทำตัวอย่างไรเพื่อให้บ้านเมืองสงบสุข ทั้งนี้ เหตุที่มีผู้ชุมนุมมาไม่มากตามที่เป็นข่าว เนื่องจากไม่มีผู้ชุมนุมจากต่างจังหวัดเดินทางมาร่วมชุมนุมด้วย ส่วนที่จะมีการชุมนุมทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ก็ทำได้หากไม่ผิดกฎหมาย แต่ถ้าทำอะไรเกินขอบเขต ตำรวจก็จะจัดการเอง ซึ่งขณะนี้ทหารยังอยู่ในพื้นที่ ไม่ได้ออกมาปฏิบัติการใดๆ ทั้งสิ้น