นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่นายสมบัติ ธำรงธัญวงค์ ประธานคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เสนอแนวคิดให้พรรคที่ได้รับคะแนนนิยมสูงสุดในระบบบัญชีรายชื่อจัดตั้งรัฐบาลและให้หัวหน้าพรรคการเมืองนั้นเป็นนายกรัฐมนตรีว่า
ข้อเสนอดังกล่าวหมายความว่าผู้จัดตั้งรัฐบาลจะไม่ใช่พรรคการเมืองที่มาจากเสียงข้างมาก แนวคิดนี้น่าจะมีการตั้งธงมาก่อน สอดคล้องกับที่นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ประธาน คณะกรรมการยุทธศาสตร์และนโยบายเพื่อการเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาระบุก่อนหน้านี้ คณะกรรมการชุดดังกล่าวเหมือนเป็นเครื่องมือของฝ่ายที่มีอำนาจ พยายามเขียนกติกาใหม่เพื่อกำจัดคู่แข่งทางการเมือง มีแผนบันได 3 ขั้นเพื่อเอื้อต่อการเลือกตั้งคือ
1. แก้รัฐธรรมนูญให้เป็นระบบส.ส.เขต 375 คนและเพิ่มส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เป็น 125 คน
2. แก้สูตรให้พรรคการเมืองที่ได้ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เป็นอันดับ 1 เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลโดยไม่ต้องสนใจระบบส.ส.เสียงข้างมาก
และ 3. สร้างความมั่นคงให้รัฐบาลโดยเสนอให้มีการแก้อำนาจของฝ่ายบริหารให้เหนือกว่าฝ่ายนิติบัญญัติ โดยที่ฝ่ายนิติบัญญัติไม่มีสิทธิที่จะอภิปรายไม่ไว้วางใจ นอกจากนี้ฝ่ายบริหารยังมีอำนาจยับยั้งกฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติได้อีกด้วย
แนวคิดของคณะกรรมการชุดดังกล่าวถือเป็นการถอยหลังเข้าคลองอย่างมาก เพราะการระบุว่าส.ส.ไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมืองนั้นจะทำให้การเมืองเกิดปัญหา ไร้ระเบียบวินัย เปิดโอกาสให้ส.ส.ขายตัว มั่วตำแหน่ง ถือเป็นทัศนคติที่อันตราย ภาพรวมทั้งหมดเหมือนกับการนำระบบประธานาธิบดีมาใช้ ถ้ารัฐบาลบ้าจี้ยอมรับก็จะเป็นการฉีกวัฒนธรรมทางการเมืองที่มีมาตั้งแต่พ.ศ. 2475 ส่วนกรณีที่อ้างว่าประชาชนเห็นชอบแล้วนั้นอยากถามว่าไปถามใครมา ได้ทำประชามติแล้วหรือยัง ข้อเสนอเหล่านี้ของนายสมบัติจะทำให้บ้านเมืองวุ่นวายแน่นอน ดังนั้นอยากให้คณะกรรมการชุดดังกล่าวทบทวนข้อเสนอใหม่