พล.อ.ประวิตรได้ประเมินให้ครม.ฟังว่า ก่อนหน้านี้ได้มีโอกาสพูดคุยกับพล.อ.เตีย บันห์ รมว.กลาโหมของกัมพูชา
เชื่อว่าทางกัมพูชาสู้ไทยไม่ได้ เพราะกัมพูชาไม่มีกองทัพอากาศ มีเครื่องบินแต่ก็ใช้ไม่ได้ ตนจึงบอกว่าถ้ากัมพูชายังไม่หยุด ก็จะเอาเครื่องบินขึ้นแล้ว เชื่อว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กัมพูชาหยุดยิง
นอกจากนี้พล.อ.ประวิตรยังชี้แจงด้วยว่า ที่ผ่านมาไทยยึดหลักเอ็มโอยูมาตลอด แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางกัมพูชายิงมาเข้ามาก่อน
โดยยิงมาจากข้างบนประสาทพระวิหารและยิงโดนพลเรือนของไทย ดังนั้นจึงอยากให้นายสุวิทย์ คุณกิตติ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เอาไปเป็นเหตุผลคัดค้านในที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็เห็นด้วย และได้สั่งให้นายสุวิทย์ไปดำเนินการเรื่องคัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร เข้าไว้ในเดือนมิ.ย.นี้
ทางด้านนายสุวิทย์กล่าวว่านายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศทำหนังสือชี้แจงต่อคณะกรรมการมรดกโลกขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ( ยูเนสโก)
เพื่อชี้แจงว่าทางกัมพูชาดำเนินการขัดต่ออนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการปกป้องสมบัติทางวัฒนธรรมจากเหตุการณ์ความขัดแย้งที่พึ่งอาวุธสงคราม ปี 1954 ที่มีข้อกำหนดสำคัญระบุว่าห้ามใช้โบราณสถานสำคัญที่เป็นพื้นที่มรดกโลกเป็นที่ตั้งกองกำลังทหาร หรือโล่ในการปกป้องกำลังทางทหาร ซึ่งถือว่ากัมพูชาทำผิดข้อกำหนดดังกล่าวชัดเจน
นอกจากนี้รัฐมนตรีบางคน ได้สอบถามถึงกระแสข่าวที่ระบุว่าพล.ท.ฮุน มาเนต ลูกชายของสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
ได้รับบาดเจ็บจากเหตุปะทะครั้งนี้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงว่า ไม่น่าจะบาดเจ็บ เพราะลูกชายของสมเด็จฮุนเซนมาแถวจุดปะทะจริง แต่ก็อยู่ไกลจากจุดปะทะ ตามหลักของการบังคับบัญชาทางทหาร เพราะสายการบังคับบัญชาจะอยู่ห่างจากพื้นที่สู้รบพอสมควร เพื่อความปลอดภัย ทั้งนี้ในช่วงท้ายของการประชุม นายกรัฐมนตรีได้ย้ำกับผู้เข้าร่วมประชุมว่า อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพูดเรื่องนี้ให้ชัดเจนว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการปะทะ ไม่ใช่เกิดสงคราม เพราะประเทศเพื่อนบ้านก็เหมือนลิ้นกับฟัน เมื่อมีการลาดตระเวนก็ย่อมมีการปะทะกันเป็นธรรมดา ส่วนด่านชายแดนก็คงปิดเพียงชั่วคราว เพื่อไม่ให้มีการส่งสินค้าและยุทธปัจจัยออกไป นอกจากนี้ขอย้ำว่าอย่าให้เรื่องที่คุยกันในครม. หลุดไปทางสื่อมวลชน