5คนไทยวืดประกันตัว “ไชยวัฒน์”ฝ่อปิดด่านอรัญฯ

นอนคุกต่อ “5คนไทย” วืดประกัน ทนายยื่นอุทธรณ์ทันควัน รอลุ้นอีก 5 วัน ขณะที่เขมรออกแถลงการณ์ ยันศาลดำเนินคดีตามกฎหมาย ยึดความสัมพันธ์อันดี ไม่มีเจตนาร้ายต่อคนไทย ส่วน “พนิช-นฤมล” ยังพำนักอยู่ในสถานทูต แฉปมได้ประกันตัว เพราะปัญหาสุขภาพ

“แม่พนิช” เปิดใจยันลูกชายเจตนาบริสุทธิ์ ทำตามหน้าที่ ปัดข่าวโกนหัวเพราะเป็นเหา แค่แมลงสาบในคุกแทะจนเป็นแผลต้องให้หมอรักษา“ไชยวัฒน์” ฝ่อ! หลังขู่บุกปิดด่านชายแดนอรัญฯ กดดันเขมร แล้วโดนชาวบ้านต้าน อ้างขอรอดูท่าทีชาวบ้านอีกรอบ  แต่เคลื่อนพลบุก ”กลาโหม” ขับไล่ “บิ๊กป้อม” ยัดข้อหาหงอ “ฮุนเซน” แถมขู่เปิดโปง “นายทหาร-บิ๊กตำรวจ” มีเอี่ยวผลประโยชน์สีเทามหาศาลแนวชายแดน “บิ๊กตู่”กร้าว! อย่ากล่าวหาพล่อยๆ พร้อมท้าโชว์หลักฐาน ลั่นงัดกฎหมายเล่นงานเอาคืน ขณะที่ชาวสระแก้วระดมพลนับหมื่นรอสกัด โวยอย่ามาทำเดือดร้อน ด้านผู้ว่าฯ เตรียม 3 แผนรับมือ แรงสุดงัดกฎอัยการศึกจัดการ

“5คนไทย”วืดประกันตัว

ที่กระทรวงการต่างประเทศ  เมื่อวันที่ 14 ม.ค. นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ ว่าศาลกัมพูชาไม่อนุญาตให้ประกันตัวคนไทยทั้ง 5 คน โดยไม่แจ้งเหตุผล ขณะที่ทนายความกัมพูชาได้ยื่นขออุทธรณ์แล้วในช่วงเช้าวันเดียวกัน  คาดว่าจะทราบผลภายใน 5 วัน นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทยกัมพูชายังเห็นชอบในหลักการให้คณะทนายความของการุณ ใสงาม ซึ่งเป็นกลุ่มเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ เข้าเยี่ยม 5 คนไทยที่เรือนจำไปรซอ ขณะนี้รอการประสานวันและเวลาที่ชัดเจน

เผยปม”พนิช”ได้ประกัน
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ทนายความกัมพูชายังไม่ได้แจ้งเหตุผลที่ศาลกัมพูชาอนุญาตให้ประกันตัวนายพนิช และนางนฤมล แต่จากการประเมินแล้ว เชื่อว่าน่าจะเป็นเหตุผลด้านสุขภาพและมนุษยธรรม เพราะนายพนิชเป็นโรคความดันสูง และถูกแมลงกัดในเรือนจำ จึงต้องเร่งรักษา ขณะที่นางนฤมลเป็นโรคไทรอยด์ เท่าที่ทราบขณะนี้ คณะทนายความของนายการุณยังไม่ได้พบทนายความกัมพูชาของ 7 คนไทย เพื่อหารือแนวทางการสู้คดี อาจเป็นเพระทนายความกัมพูชายังไม่พร้อม และไม่สะดวก อย่างไรก็ดี ถ้าคณะทนายความของนายการุณจะขอร่วมไต่สวนด้วย สามารถยื่นกับสภาทนายความของกัมพูชาได้

นอนคุกยาวรอลุ้นกันต่อ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ต้องหาชาวไทยทั้งหมดอีก 5 คน ซึ่งประกอบด้วย นายวีระ สมความคิด  ,น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์  ,ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ ,นายตายแน่ มุ่งมาจน และนายกิจพลธรณ์ ชุสนะเสวี ผู้ช่วยนายพนิช ยังคงถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำไปรซอ  และยังต้องใช้ชีวิตในนั้นต่อไป เพื่อรอทนายความยื่นขออุทธรณ์เรื่องการประกันตัว โดยเฉพาะนายวีระ และ น.ส.ราตรี ผู้ช่วยนายวีระ ที่ถูกตั้งข้อหาพยายามประมวลข่าวสาร ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อการป้องกันประเทศ หรือข้อหาจารกรรมข้อมูลทางทหาร  เพิ่มเติม ขณะที่นายพนิช และนางนฤมล ซึ่งได้รับการประกันตัว ยังคงพำนักอยู่ที่ทำเนียบเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ โดยมีครอบครัวเดินทางมาให้กำลังใจ

“แม่พนิช”เปิดใจเรื่องลูก
ม.ล.สมพงษ์วดี วิกิตเศรษฐ์ มารดาของนายพนิช ให้สัมภาษณ์ที่กรุงเทพฯ ว่า หลังลูกชายได้รับการประกันตัวก็โทรศัพท์มาหาตนทันทีด้วยน้ำเสียงดีใจ บอกว่าออกมาหาหมอเพราะตัวเป็นผื่น เท้าบวม ไม่ต้องเป็นห่วง ตนก็ดีใจ เพราะอยากให้เขาออกมาหาหมอ ส่วนภรรยาและลูกของเขายังอยู่ที่นั่น ยังไม่ได้คุยกันว่าจะกลับเมืองไทยเมื่อใด  คงรอดูสถานการณ์ก่อน ตนเคยไปเยี่ยมลูกชาย 2 ครั้ง ช่วงที่ถูกควบคุมตัว เพราะเป็นห่วงเรื่องความเป็นอยู่ และพบว่าสถานทูตดูแลลูกชายอย่างดี ทั้งเรื่องอาหารและยา ต้องขอบคุณจริงๆ
“ลูกชายเล่าให้ฟังว่า ตอนไปที่นั่น เขามีเจตนาบริสุทธิ์ ทำไปตามหน้าที่ และยืนยันว่าไปอยู่ในที่ของเรา แต่มีคนชี้ให้ไปทางโน้นทางนี้ ก็ตามเขาไปเรื่อย ไม่รู้ว่าไปผิดไปถูกอย่างไร จนมีคนมาจับ ลูกชายไม่ได้บอกว่านายกฯ ให้รับผิดตามที่เป็นข่าว เพราะอยู่ในเรือนจำ ไม่ได้ติดต่อกับนายก ฯเลย  ลูกชายยังถามถึงข่าวต่างๆ เพราะอยู่ในนั่นไม่รู้ข่าวสารอะไรเลย”

ไม่ได้โกนหัวเพราะเหา
มารดานายพนิช กล่าวต่อว่า หลังนายพนิชถูกจับกุม ทั้งนายกฯ และนายสุเทพ ติดต่อมาให้กำลังใจ  เวลาตนโทรศัพท์ไปสอบถามความคืบหน้านายกฯ ก็รับสาย และบอกว่ากำลังช่วยอยู่ และจะช่วยทุกคนให้เร็วที่สุด ส่วนเรื่องที่ลูกชายต้องโกนผม ไม่ใช่เพราะถูกเหาในเรือนจำกัด แต่โกนผมเพราะถูกแมลงในเรือนจำกัด ลูกชายบอกว่าในห้องนอนมีแมลงสาบเดินไต่มาขึ้นตามตัวแล้วกัดจนเป็นแผล จึงต้องโกนผมเพื่อง่ายต่อการรักษา ขอยืนยันว่าลูกชายไม่ได้เป็นเหาแน่นอน

ยังปักหลักตะเพิดนายกฯ
ส่วนบรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ ซึ่งยกระดับเป็นการขับไล่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ และนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการ รมว.การต่างประเทศ อ้างว่าไม่ยอมช่วยเหลือ 7 คนไทย แต่กลับไปยอมรับว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของกัมพูชานั้น วันเดียวกัน ผู้ชุมนุมบางส่วนที่ปักหลักประท้วงอยู่หน้ากระทรวงการต่างประเทศ ได้กลับมารวมตัวกันที่ประตู 4 ทำเนียบรัฐบาลแล้ว โดยรวมตัวกันปิดช่องการจราจร 2 ช่องทาง บนถนนพิษณุโลก ตั้งแต่สี่แยกมิสกวัน ไปจนถึงสะพานชมัยมรุเชษฐ์ ทำให้การจราจรติดขัดตลอดทั้งวัน
นอกจากนี้ ยังตั้งโต๊ะรวบรวมรายชื่อ 2 หมื่นชื่อ ขอคืนพระราชอำนาจให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อให้ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างแท้จริง โดยจะส่งรายชื่อทั้งหมดพร้อมสำเนาบัตร ให้กับสำนักพระราชวัง ขณะนี้รวบรวมได้แล้ว 1.4 หมื่นชื่อ

ขอดูท่าทีปิดด่านชายแดน

ด้าน นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำเครือข่ายฯ แถลงหลังการหารือร่วมกับสมณะโพธิรักษ์ ผู้ก่อตั้งสำนักสันติอโศก และแกนนำกลุ่มอื่นๆ มติที่ประชุมคณะกรรมการผู้รับใช้เครือข่ายฯ ยืนยันจะเดินทางไปปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านอำเภออรัญประเทศ จ.สระแก้ว แน่นอน แต่ขอรอดูท่าทีจากชาวบ้านในพื้นที่ก่อนว่าจะสนับสนุนและร่วมมือเมื่อใด  ทั้งนี้หากคนไทยที่ถูกจับทั้งหมด ยังไม่ได้รับการปล่อยตัว จะเป็นตัวเร่งให้มีการชุมนุมในพื้นที่อำเภออรัญประเทศ เร็วขึ้น และเป้าหมายอีกอย่างคือการทำให้ความจริงให้ปรากฏ ให้ชาวบ้านรู้ข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจและผลประโยชน์สีเทาและสีดำ ซึ่งเป็นผลประโยชน์มาหาศาลที่นักการเมือง ผู้มีอิทธิพล นายตำรวจและนายทหารบางคน รวมถึงสมเด็จฮุนเซน ได้รับตลอด 30 ปีที่ผ่านมา และสมคบคิดกันยกดินแดนของไทยให้กัมพูชา

ยัวะจัดม็อบไล่”บิ๊กป้อม”
แกนนำเครือข่ายฯ รายนี้ ยังกล่าวว่า ทีมที่ปรึกษากฎหมายได้พบกับนายวีระ สมความคิด แล้ว และจะจ้างทนายความเข้าช่วยไปเหลือด้วยเงินของเครือข่ายฯ เอง และช่วงบ่ายผู้ชุมนุมบางส่วนจะไปประท้วงขับไล่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ออกจากตำแหน่ง ที่หน้ากระทรวงกลาโหม เพราะเป็นถึง รมว.กลาโหมของไทย มีที่แสนยานุภาพทางทหารสูงกว่ากัมพูชา แต่กลับยอมสยบให้สมเด็จฮุนเซน โดยรีบออกมายอมรับหลังเกิดเหตุการณ์ทันทีว่า 7 คนไทย รุกล้ำดินแดนกัมพูชา จนพยานกัมพูชาใช้อ้างอิงเป็นพยาน พวกเราจึงต้องขับไล่นักการเมืองไทย แต่ใจเป็นเขมรออกไป

ยื่นหนังสือบี้ ”มาร์ค”ลุย
ขณะที่ นายจาตุรันต์ บุญเบ็ญจรัตน์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ (ก.ม.ม.) เดินทางมายื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ขอให้รัฐบาลกดดันกัมพูชาให้ปล่อยตัว 7 คนไทย  และปกป้องแผ่นดินไทยด้วยศักดิ์ศรี โดยมีนายเกียรติฟ้า เลาหะพรสรรค์ ผู้ช่วย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมารับหนังสือแทน ทั้งนี้ในหนังสือระบุว่า 7 คนไทยถูกจับกุม เพราะทำหน้าที่ปกป้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศ และดินแดนที่เข้าไปเป็นดินแดนที่ยังเป็นข้อพิพาทกันอยู่ แต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร และนายกษิต กลับให้สัมภาษณ์ยอมรับว่าคนไทยรุกล้ำเขตแดน และยินยอมให้กัมพูชาดำเนินคดี รวมทั้งมีแนวคิดจะ ขอพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งจะส่งผลเสียในระยะยาว หากกัมพูชาใช้คำพิพากษาของศาลเป็นบรรทัดฐาน และคงจะเอาพื้นที่พิพาทอีกหลายพื้นที่ไปเป็นของกัมพูชา 

ชง 5ข้อเสนอเปิดเกมรุก
ทั้งนี้ยังเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการดังนี้ 1.ยกเลิกเอ็มโอยู 2543 และรื้อข้อตกลงเจบีซี รวมทั้งใช้มาตรการที่เป็นรูปธรรมตอบโต้และกดดันกัมพูชา 2.ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการแสดงจุดยืนในนามประเทศไทย ว่ากัมพูชาละเมิดอธิปไตยของไทย เพราะทหารกัมพูชาบุกรุกเข้ามาจับคนไทยในดินแดนของไทย 3.ผลักดันชาวกัมพูชาและทหารที่รุกล้ำในดินแดนประเทศไทยออกจากพื้นที่ทันที 4.ให้รัฐบาลปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 77 อย่างเคร่งครัด และกดดันให้รัฐบาลกัมพูชาปล่อยตัว 7 คนไทยทันที โดยไม่มีเงื่อนไข และ 5.ให้รัฐบาลทำหนังสือประท้วงไปยังองค์การสหประชาชาติ ว่ากระบวนการจับกุมและดำเนินคดีของกัมพูชา เป็นการกระทำที่ไม่ชอบ โดยหากรัฐบาลยังนิ่งเฉย ไม่หาทางออกอย่างเร่งด่วน ถือไม่มีความชอบธรรมที่จะบริหารประเทศต่อไป

ขู่อย่าสร้างความเดือดร้อน
  ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ให้สัมภาษณ์กรณีที่กลุ่มเครือข่ายฯ จะไปประท้วงขับไล่ พล.อ.ประวิตร ว่าสามารถทำได้ตามกฎหมาย แต่ห้ามบุกรุสถานที่ราชการ ส่วนข้อกล่าวหาที่ว่ากองทัพไม่ค้อยช่วยเหลือ 7 คนไทยนั้น ความจริง พล.อ.ประวิตร เป็นคนช่วยมากที่สุด และช่วยมาตั้งแต่ต้น แต่ไม่อยากพูด เพราะยิ่งพูดจะยิ่งเรื่องมาก ทหารเป็นช่องทางหนึ่งที่ช่วยเจรจาในเรื่องนี้  ไม่ใช่ตนไม่รัก 7 คนไทย แต่การแก้ปัญหาบางเรื่อง พูดไม่ได้มากนัก เพราะอาจทำห้าสถานการณ์และการแก้ปัญหาลำบากขึ้น รวมทั้งอาจกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ส่วนการจะเคลื่อนไปปิดด่านชายแดนนั้น ถ้าทำผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ต้องจัดการ และเห็นว่าชาวบ้านในพื้นที่ก็ไม่ค่อยพอใจ ที่คนนอกพื้นที่จะไปสร้างความเดือดร้อน เจ้าหน้าที่ต้องดูแลไม่ให้คนไทยทะเลาะกันเอง ถ้าต่างคนต่างใช้การเคลื่อนไหวมาแก้ปัญหากัน ผลประโยชน์ของชาติก็เสียหาย 

“บิ๊กตู่”ยันไม่เสียดินแดน
สำหรับประเด็นข้อกล่าวหาเรื่องการเสียดินแดน ผบ.ทบ.กล่าวยืนยันอย่างขึงขังว่า “ไม่มีใครอยากเสียดินแดนและไม่มีทหารคนไหนจะไปได้ผลประโยชน์จากการป้องกันชายแดน  แล้วมันเสียดินแดนตรงไหน ได้ผลประโยชน์ตรงไหนกัน ที่บอกว่าได้ประโยชน์ตามแนวชายแดน   ระวังจะมีการดำเนินการตามกฎหมาย ถ้ามันพูดอะไรไม่มีเหตุผล ไม่มีเรื่องราวอะไรขึ้นมาจะมากล่าวอ้างอย่างนี้ไม่ได้ มันถือว่าทำลายกองทัพ  ที่อยู่มาได้ทุกวันนี้ก็กองทัพที่ดูแลท่านอยู่  เสียเลือดเหนือเสียชีวิตไปเท่าไหร่แล้ว ผมไม่เห็นจะมีผลประโยชน์ตรงไหน มีแต่ปวดหัวทุกวัน  ถ้าบอกว่ามีเรื่องผลประโยชน์หรือบ่อนกาสิโน ก็ขอให้ไปเอาหลักฐานมา ถ้าผู้ใต้บังคับบัญชาผมไปเกี่ยวข้อง ผมก็จะลงโทษ  ไม่ใช่พูดกันลอยๆ กล่าวอ้างไปเรื่อย”

อ่านแถลงการณ์หน้ากห.
ต่อมาเมื่อเวลา 14.30 น. แกนนำกลุ่มเครือข่ายฯ ได้เคลื่อนขบวนนำผู้ชุมนุมที่เป็นผู้หญิง เดินทางไปประท้วงขับไล่ พล.อ.ประวิตร ที่หน้ากระทรวงกลาโหม (กห.)โดยอ่านแถลงการณ์เรียกร้องให้ พล.อ.ประวิตร ทำหน้าที่ทหารนำ 7 คนไทยกลับประเทศ และรักษาผืนแผ่นดินของไทยอย่างสมศักดิ์ศรี ไม่ใช่ไปรอขออภัยโทษ เพราะทั้ง 7 คน ไม่มีความผิด ไม่ได้บุกรุกหรือรุกล้ำดินแดนกัมพูชา  หลังจากชุมนุมอยู่นานประมาณ 2 ชั่วโมง จึงเดินทางกลับไปปักหลักชุมนุมต่อที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ท่ามกลางกำลังทหารและตำรวจจากหลายสังกัด กว่า 250 คน มาดูแลความสงบเรียบร้อย 

“สุเทพ”ขู่ห้ามปิดชายแดน
ทางด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มเครือข่ายฯ ที่ก่อปัญหาด้านการจราจรว่า ทุกคนมีสิทธิและเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตย แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ไม่สร้างปัญหาให้ประชาชนคนอื่น ตำรวจนครบาลจะคอยดูแลเอง ส่วนการตั้งเงื่อนไขจะชุมนุมยืดเยื้อจนกว่านายกฯ ลาออกนั้น ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกติกา จะมาใช้วิธีขู่บังคับกันไม่ได้ และไม่เห็นด้วยหากจะเคลื่อนขบวนไปปิดด่านชายแดน ซึ่งคงปล่อยให้ทำไม่ได้ สำหรับการส่งตัวนักโทษชาวกัมพูชา 2 คน กลับไปดำเนินคดีที่บ้านเกิดนั้น ขอยืนยันว่าไม่ใช่การแลกเปลี่ยนตัวนักโทษอย่างที่หลายฝ่ายเข้าใจ แต่ดำเนินการมาก่อนแล้ว เพียงแต่จังหวะเวลามันพอดีกันแค่นั้นเอง

นายกฯ ปัดข่าว”แลกตัว”
ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังไม่ทราบเหตุผลที่ศาลไม่ให้ประกันตัว 5คนไทยที่เหลือ ขณะนี้อยู่ระหว่างอุทธรณ์ ส่วนข่าวตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ปล่อยตัวชาวกัมพูชา 100 คน ที่ลักลอบเข้าไทยโดยผิดกฎหมายนั้น ไม่ได้เป็นการแลกเปลี่ยนตัวกับคนไทยที่ถูกจับ ที่ผ่านมาก็ทำแบบมาตลอด ไม่มีอะไรผิดปกติ และที่นายไชยวัฒน์ยกระดับการชุมนุมมาขับไล่ตนกับรัฐมนตรีหลายคนให้ออกจากตำแหน่งนั้น  เป็นสิทธิที่ทำได้ แต่ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ดูแลเรื่องการเคลื่อนไหวและการชุมนุมให้อยู่บนความพอดี และอยู่ภายใต้กฎหมาย
ส่วนนายชวรัตน์ ชาญวีระกุล รมว.มหาดไทย กล่าวว่า ได้สั่งการให้ ผวจ.สระแก้ว เข้าไปดูแลกรณีกลุ่มเครือข่ายฯ ขู่จะเคลื่อนไปปิดด่านชายแดน แล้ว แต่อยากขอร้องว่าอย่าไปเลยจะดีกว่า

ไม้ตายงัดกฎอัยการศึกใช้
ขณะที่ นายศานิตย์  นาคสุขศรี  ผวจ.สระแก้ว เปิดเผยว่า ตนกับ พล.ต.วลิต โรจน์ภักดี  ผบ.กองกำลังบูรพรา  และ พล.ต.ต. ธีรยุทธ  ธรรมสาโรจน์  ผบก.ภ.จว.สระแก้ว  ได้วางแผนกำหนดแนวทางการรับมือควบคุมสถานการณ์กรณีกลุ่มเครือข่ายฯ จะเคลื่อนมาปิดชายแดนด้านอรัญประเทศ ไว้ 3 แนวทาง คือ 1. จะเข้าเจรจาแบบสันติวิธีทันทีไม่ให้เข้าไปปิดด่าน  2.เตรียมกำลังทหาร-ตชด.และตำรวจ ไว้กว่า 500 นาย เพื่อควบคุมสถานการณ์ หากเจรจาไม่สำเร็จ และ 3. หากใช้ทั้ง 2 ข้อแล้วยังไม่สำเร็จ ทางจังหวัดสามารถนำกฎอัยการศึกมาใช้กับผู้ชุมนุมได้ทันที เพราะมี 4 อำเภอ คือ อ.วัฒนานคร อ.คลองหาด อ.อรัญประเทศ อ.โคกสูง และ อ.ตาพระยา เป็นพื้นที่ที่ยังไม่ประกาศยกเลิกกฎอัยการศึก 
 
สระแก้วนับหมื่นรอสกัด 
           
ด้าน นายกิติศักดิ์  พรพรมวินิช  นายกเทศบาลตำบลป่าไร่  แกนนำชาวบ้านต่อต้านกลุ่มเครือข่ายฯ ระบุว่า ขณะนี้ทางกลุ่มชาวบ้านกว่า 1 หมื่นคน เตรียมพร้อมสกัดกั้นไม่ให้กลุ่มเครือข่ายฯ เดินทางเข้าไปปิดด่านแล้ว เพราะตอนนี้ชาวบ้านในเขต ต.ป่าไร่ และ อ.โคกสูง เปรียบเสมือนคนตกงาน ไม่มีงานทำเพราะขาดแรงงานชาวกัมพูชา จึงมีเวลาว่างพร้อมที่จะเดินทางไปสกัดกั้นทันทีที่เดินทางเข้ามาในพื้นที่ จ.สระแก้ว
        ส่วนนายบำรุง  ล้อเจริญวัฒนชัย  ประธานหอการค้าจังหวัดสระแก้ว กล่าวว่า ตั้งแต่มีเหตุการณ์กลุ่มเครือข่ายฯ เดินทางเข้ามาชุมนุมในพื้นที่ เมื่อวันที่ 2 ม.ค.ที่ผ่านมา ทำให้บรรยากาศการค้าขายบริเวณตลาดโรงเกลือ ซบเซาขาดรายได้ไปวันละ 20-30 ล้านบาท  การขนส่งสินค้าออกไปฝั่งกัมพูชา ยังคงเป็นปกติ  ส่วนในพื้นที่ อ.โคกสูง เสียหายมากโดยเฉพาะไร่อ้อยกว่า 5 หมื่นไร่ นาข้าวอีกกว่า 2 พันไร่ ไม่มีแรงงานกัมพูชามาเก็บเกี่ยว  ขณะนี้ยังสำรวจความเสียหายทั้งหมดไม่ได้ ว่ามีมูลค่าเท่าใด

เขมรร่อน”แถลงการณ์”
เมื่อเวลา 18.00 น. โฆษกกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศของกัมพูชา ออกแถลงการณ์กรณี “7 คนไทย” ซึ่งปรากฏในเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา มีสาระโดยสรุปดังนี้ 1.เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.53 คนไทยทั้ง 7 คน ได้ข้ามแดนอย่างผิดกฎหมายล้ำเข้ามายังเขตแดนกัมพูชา และถูกจับ ซึ่งนำไปสู่การส่งตัวไปยังศาล เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย ฐานเข้าเมืองผิดกฎหมาย  2.เมื่อวันที่ 13 ม.ค.54 ศาลกัมพูชาตัดสินใจให้ผู้ต้องหา 2 คน ได้รับการประกันตัว ได้แก่ นายพนิช และนางนฤมล ด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ ซึ่งศาลกัมพูชายังคงพิจารณาเกี่ยวกับการประกันตัวผู้ต้องหาไทยที่เหลืออีก 5 คน และ 3.ศาลกัมพูชาจะดำเนินคดีนี้เป็นไปตามกฎหมายเข้าเมืองของกัมพูชา และคำนึงถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและกัมพูชาในปัจจุบัน โดยไม่มีเจตนามุ่งร้ายใดๆ ต่อประชาชนไทย

ไขปัญหา”ไทย-กัมพูชา”
วันเดียวกัน นายสุนทร จันทร์รังสี รองประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 11 ม.ค.ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการฯ หยิบยกปัญหาข้อพิพาท เรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชา ที่ผู้บริหารประเทศตั้งแต่นายกฯ รมว.การต่างประเทศ และรมว.กลาโหม เกิดความสับสนและพูดกันไปคนละทางเกี่ยวกับเขตแดนของไทย ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังมานานพอสมควรแล้ว กระทั่งคดีจับตัว 7 คนไทย คณะกรรมการฯ จึงมีความเห็นร่วมกันจัดทำข้อเท็จจริงเพื่อความถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมโดยไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง เพื่อคลี่คลายและสร้างความชัดเจนในกรณีดังกล่าว รวมไปถึงการศึกษาเรื่องอำนาจอธิปไตยแห่งราชอาจักรไทย ตามที่นายสัก กอแสงเรือง นายกสภาทนายความ ได้เสนอไว้ในที่ประชุมด้วย

เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์