คมชัดลึก : "ผมบอกเสมอว่า สถาบันจะต้องอยู่เหนือการเมือง กองทัพหรือทหารจะอยู่ตรงนี้ ไม่ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นใครจะมีกี่พวกหรือจะมีกี่ฝ่าย ผมไม่รู้ แต่ทหาร ตำรวจจะต้องยืนอยู่ตรงนี้ให้นิ่งและอย่าล้ำเส้นกัน" "กำลังพล 2 แสนกว่านาย จะทำอย่างไรให้เขาพอใจ และให้เขารบให้เราได้ หรือทำอย่างไรจะให้ตายแทนประชาชนก็ได้ ซึ่งสิ่งนี้ถือว่าเป็นภารกิจที่เขาต้องแบกไว้อยู่แล้ว การเมืองไม่เกี่ยวกับผม รัฐบาลก็บริหารไป มีอะไรก็สั่งการ โดยสามารถสั่งการได้ด้วยความชอบธรรม ผมจะปฏิเสธได้หรือไม่ เมื่อรัฐบาลสั่งการแล้วตามกฎหมาย"
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก เปิดใจกับ “คม ชัด ลึก” ยืนยันว่า ทหารมีหน้าที่ปกป้องสถาบัน และปกป้องอธิปไตย ไม่ได้อยู่กับการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ก็ไม่ต้องการให้ใครมาล้ำเส้น ย้ำเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชา ยังไม่ชัดเจน กรณีคนไทยที่เข้าไปในพื้นที่เมื่อเข้าสู่กระบวนการศาลแล้วก็ต้องรอ แต่หากปักปันเขตแดนชัดเจนแล้วถูกอีกฝ่ายล้ำแดนมา ก็ต้องยิงกัน
“ผู้บัญชาการกองพลทำงานโดยที่แม่ทัพภาคไม่รู้ไม่ได้ หรือแม่ทัพภาคทำงานโดยที่ผู้บัญชาการทหารบกไม่ได้สั่งก็ไม่ได้ ถือว่าผิด หากทำนอกกรอบก็ต้องสั่งเปลี่ยนย้ายหมด เพราะมีการปกครองตามลำดับชั้น เมื่อเราสร้างความศรัทธาได้เขาก็พร้อมที่จะไปรบ เพราะว่าเป็นการสั่งคนไปตาย ถ้าเราดูแลครอบครัว หรือลูกเมียเขาไม่มีความสุข หรือถ้าเขามีความรู้สึกว่า ไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไร อันนั้นแหละถือว่าอันตราย คุณอย่าทำให้กองทัพตกอยู่สภาพแบบนั้น สิ่งที่ทำทุกวันนี้คือการรักษากฎหมาย ถ้าทหารไม่ออกมาดูแลบ้านเมือง ไม่ออกมาตามคำสั่ง ไม่ทำตามหน้าที่ให้ดีที่สุด ประเทศก็อยู่ไม่ได้ ไม่มีใครอยากบาดเจ็บหรือสูญเสียชีวิต คนไทยด้วยกันทำไม่ได้อยู่แล้ว”
ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวว่า วันนี้ประเทศไทยจะต้องหันกลับมาทบทวนกันใหม่ ในวันนี้เรามีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรามีสถาบันที่อยู่คู่กับประเทศชาติมานาน และสถาบันก็ไม่เคยเอาประโยชน์กับประชาชนของพระองค์ท่าน ตนถวายงานพระองค์ท่านมา พระองค์ท่านรับสั่งอยู่เสมอว่าพระองค์ท่านจะทรงสามารถช่วยเหลืออะไรประชาชนของพระองค์ท่านได้บ้าง พระราชทรัพย์ของพระองค์ท่านที่มีอยู่พระองค์ท่านก็พระราชทานมาช่วยเหลือประชาชน
"เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ประชาชนทูลเกล้าฯ ถวายให้แก่พระองค์ท่าน พระองค์ท่านก็ทรงรับสั่งว่าจะต้องคืนให้แก่ประชาชนไป พระองค์ท่านพระราชทานทรัพย์ช่วยเหลือประชาชนที่ยากไร้ ประชาชนยากจน และประชาชนที่ด้อยโอกาส ที่มีอยู่มากมาย ทั้งนี้เมื่อเงินของพระองค์ท่านในส่วนนี้หมดก็ไม่รู้จะช่วยเหลืออย่างไร พระองค์ท่านจึงทรงเปลี่ยนมาเป็นพระราชทานข้าวสาร ซึ่งเราจะต้องช่วยกันคิดช่วยกันทำเพื่อช่วยประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน”
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า พระองค์ท่านทรงไม่เคยไปไขว่คว้าแสวงหาหรือขออะไรต่างๆ ที่มีการกล่าวอ้างกัน ตนอยากถามว่าประเทศไทยมันจนมากหนักหรือ ของพวกนี้สถาบันเราไม่มีหรือ ซึ่งความจริงประเทศไทยเรามีหมด สิ่งที่พระองค์ท่านทรงทำทุกวันนี้ก็เพื่อประเทศชาติ และประชาชนของพระองค์ท่านทั้งนั้น ตนไม่เห็นด้วยและไม่ชอบ ไม่สบายใจที่มีการล่วงละเมิดพระองค์ท่าน ไม่ว่าใครจะต่อสู้กันด้วยวิธีใดก็ตาม อย่านำสถาบันเข้าไปเกี่ยวข้อง
"ผมบอกเสมอว่า สถาบันจะต้องอยู่เหนือการเมือง กองทัพ หรือทหารจะอยู่ตรงนี้ ไม่ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นใครจะมีกี่พวก หรือจะมีกี่ฝ่าย ผมไม่รู้ แต่ทหาร ตำรวจจะต้องยืนอยู่ตรงนี้ให้นิ่งและอย่าล้ำเส้นกัน อย่าทะเลาะเบาะแว้งกัน อย่าตีกัน อย่าให้ประชาชนทะเลาะกัน ฆ่ากัน เจ้าหน้าที่รับไม่ได้อยู่แล้วกับสิ่งที่เกิดขึ้น ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่พยายามแก้ไขปัญหาให้ดีที่สุด แต่ก็มีทั้งคนที่เข้าใจ และไม่เข้าใจ"
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีตผู้บัญชาการทหารบก ก็สอนและอบรมมา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ก็อบรมมาตลอด จะมาบอกว่าบูรพาพยัคฆ์ ตนไม่สนใจ เพราะความจริงไม่ใช่อย่างนั้น บังเอิญตนโตมาจากในพื้นที่กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) และกองทัพบกก็โตกันมาแบบนี้ โตมาจากพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 กองทัพภาคที่ 2 กองทัพภาคที่ 3 และกองทัพภาคที่ 4 หรือโตในสายงานพื้นที่ กทม. แต่ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับจังหวะชีวิตว่าจะโตขึ้นมาอยู่ในกองทัพ และเป็นผู้นำกองทัพ เมื่อโตขึ้นมาเป็นผู้นำในกองทัพแล้วก็จะไม่มีตัวตน หรือตัวเองแล้ว
"ไม่ใช่ผม หรือไม่ใช่ พล.อ.ประยุทธ์ คนเดียว ผมจะต้องปกครองบังคับบัญชาผู้ใต้บังคับบัญชาให้เกิดความเป็นธรรมให้มากที่สุด เพราะขึ้นอยู่กับจังหวะเวลาของแต่ละคนด้วย ไม่ใช่ว่าผมจะเอารุ่นนั้นรุ่นนี้มา แต่เมื่อมาเป็นผู้นำกองทัพจะต้องดูแลทุกคนให้ได้ หน้าที่ของผู้นำกองทัพคือจะต้องนำพากองทัพไปในทางพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี”
ประยุทธ์ จันทร์โอชา:อย่าล้ำเส้นกัน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า หน้าที่ของผู้บังคับบัญชาคือการดูแลผู้ใต้บังคับบัญชา และครอบครัว ให้อยู่ดีกินดี ตามฐานันดร มีเกียรติยศ และศักดิ์ศรี และรักษาทรัพยากรของกองทัพ โดยเฉพาะยุทโธปกรณ์ เนื่องจากประเทศเรามีงบประมาณจำกัด ดังนั้นจำเป็นที่จะต้องจัดหามาทดแทนเท่าที่จำเป็น ตอนนี้ปีหนึ่งเท่ากับ 1.6 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี ซึ่งถือว่าน้อยมากในสัดส่วนตรงนี้
เขาชี้ว่าประเทศเพื่อนบ้านยังมีจีดีพีมากกว่าเราและได้ของฟรี คือประเทศเพื่อนบ้านเขาให้ความช่วยเหลือ ส่วนประเทศไทยเขาเห็นว่าเก่งแล้วต่างประเทศเลยไม่ได้ให้ความช่วยเหลือ แต่เมื่อเวลาประเทศเรามีการจัดซื้อ ก็มีการแข่งขันเข้าไป มีการแย่งกันตีกันเข้าไป จึงทำให้ซื้อยุทโธปกรณ์ไม่ได้ ทั้งๆ ที่มันซื้อได้แต่ก็ซื้อไม่ได้ เมื่อซื้อยุทโธปกรณ์ไม่ได้งบประมาณก็จะต้องคืน พอคืนเสร็จ ก็จะต้องตั้งโครงการในการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ใหม่อีก 5 ปีถึงจะได้ แล้วว่าอย่างนี้เมื่อไหร่เราจะไปทันประเทศอื่นเขา
“จะให้ทหารไปรบกับเขา ผมอยากถามว่าทหารไม่มีเลือดเนื้อหรืออย่างไร ฝ่ายตรงข้ามมีรถเกราะ รถถัง และมีอาวุธที่ทันสมัยกว่าเราเยอะ วันนี้เราล้าหลังกว่าเขาในเรื่องความทันสมัย หากเทียบกับจำนวนกำลังของทหารไทยก็แข็งแรง แต่ถ้าถามว่ายุทโธปกรณ์ล้าหลังกว่าเขามันจะทำอย่างไร"
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า เราต้องมองว่านโยบายความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านมีอยู่ 3-4 ประการ คือ 1.อยู่ด้วยความเข้าอกเข้าใจกัน 2.มีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และ 3.มีพื้นฐานความเท่าเทียมกัน จะไปดูถูกใครเขาอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ วันนี้โลกเจริญแล้ว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า แนวชายแดนของประเทศไทย การปักปันเขตแดนเกิดขึ้นมา 200-300 ปีแล้ว อย่างเร็วสุดคือมีการปักปันเขตแดนตอนสมัยรัชกาลที่ 5 โดยสมัยนั้นมีการขี่ช้างไปทำกัน ทำกันตามต้นไม้ ต้นสักตามแนวชายแดน มีอันหนึ่งที่ชัดเจนคือเรื่องสันปันน้ำ หลังจากนั้นได้มีการแก้สนธิสัญญามาหลายฉบับ สมัยก่อนมีแต่ช้าง ไม่มีเครื่องบิน หรือจีพีอาร์เอส บางทีก็ใช้เล็งกันและไปทำเครื่องหมายที่ต้นไม้ ตอนนี้ต้นไม้ที่ทำเครื่องหมายไว้ก็ตายหมดแล้ว เมื่อก่อนมีการวัดมุมจากต้นไม้ต้นนี้ไปยังอีกต้นหนึ่ง ที่ตกลงกันไม่ได้คือวัดมุมไม่เจอไม่รู้จะไปวัดตรงไหน ไม่ใช่มีการพูดกันว่ามีการปักหมุดตรงนี้แล้วมันใช่ สมัยก่อนอาจจะใช่ แต่วันนี้มันไม่ใช่แล้ว เพราะมีการเปลี่ยนทางน้ำ และทางพื้นดินหมดแล้ว รวมถึงสภาพแวดล้อมต่างๆ แต่ทุกอย่างจะต้องมาพูดกัน
"หากไม่พูดเรื่องการปักปันเขตแดนมันก็จะต้องอยู่กันแบบนี้ อยู่กันไปแบบไม่ต้องทะเลาะกัน แต่ที่ผ่านมาดันมีการปักปันเขตแดน ทำให้ต่างคนต่างบอกพื้นที่ตรงนั้นเป็นของคนนั้นคนนี้ ซึ่งเราไม่ได้ยอมรับว่าพื้นที่ตรงนั้นมีการยกให้เขาไป มันไม่ใช่ เราคิดว่าเขาล้ำเข้าไปตรงนี้ เขาก็คิดว่าเราล้ำเข้าไปตรงนั้น สมัยก่อนเขตแดนมันไม่ได้เป๊ะแบบนี้"
ผบ.ทบ.ระบุว่า สมัยก่อนมันไม่มีเขตแดนที่ชัดเจนก็อยู่กันได้ แต่ต่อมามี น.ส.3 สค.1 ก็มีการเขียนกันไว้ในแผนที่ แต่วันนี้มันไม่ใช่เนื่องจากมีการตกลงกันใหม่ว่า พื้นที่ใดอยู่ตรงไหนบ้าง ฉะนั้นเมื่อยังไม่ถึงตรงนั้นก็จะจำเป็นจะต้องมีกติกา หรือมีการเซ็นสัญญาว่าอย่าล้ำกันนะ กัมพูชาล้ำเข้ามาอาจจะเป็นเรื่องสงครามที่มีการรบกันโดยเฉพาะบริเวณหนองจาน หลังจากเขาทำสงครามเสร็จเขาก็ถอยไป บริเวณหนองจานอยู่ตรงนี้ แต่เขาคิดว่าอยู่ตรงนี้ คิดว่าแนวรั้วตรงนี้เป็นของเขาซึ่งเราไม่ยอม เราบอกว่ามันไม่ใช่ ซึ่งก็มีการตกลงกันว่าเขาพร้อมจะออก หากมีการปักปันเขตแดนที่ชัดเจน
พล.อ.ประยุทธ์ บอกด้วยว่า ถ้าเราไปพูดว่าที่เราเข้าไปไปล้ำเขา ซึ่งมันไม่รู้ข้อเท็จจริง ดังนั้นจะต้องไปพิสูจน์กันในศาล ที่ผ่านมาก็มีการพิสูจน์กันไปแล้วแต่ตนพูดไม่ได้ ก็จะต้องไปว่ากันเอง เพราะพูดอะไรไปวันนี้มันก็เสียหมด วันนี้เมื่อเข้ากระบวนการยุติธรรมไปแล้วก็จะต้องมาดูว่า หากเข้าไปในพื้นที่ที่ยังไม่ชัดเจนก็พอรู้เรื่อง แต่ถ้าเข้าไปในพื้นที่เขาจริงมันจะต้องมีปัญหา
"จริงๆ แล้วคนไทยที่เข้าไปน่าจะมีการแจ้งกับทหารในพื้นที่เพื่อประสานงานในการเข้าไป แต่เขาไม่ได้แจ้ง ถ้าแจ้งมาผมก็จะต้องรู้ แต่นี่ผมไม่รู้ แม่ทัพภาคที่ 1 ก็ไม่รู้ ผู้บัญชาการกองกำลังบูรพาก็ไม่รู้"
พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำว่า หากมีเส้นเขตแบ่งชัดเจนและมีรั้ว อยู่ดีๆ จะมีการนำกำลังเข้ามา หรือมาจับคนไทย มันไม่ได้ ตนไม่ยอม อย่างในพื้นที่ จ.สุรินทร์ ที่มีกำลังทหารเข้ามาก็ได้มีการเจรจาให้ปลดอาวุธ เมื่อพูดกันรู้เรื่องก็ถอยออกไป ถ้าไม่รู้เรื่องก็ยิงกัน
“ผมยืนยันว่ากองทัพบกไม่ยอมเสียดินแดนทั้งสิ้น ถ้ามีปัญหาทางกองทัพภาคที่ 2 จะต้องมีความพร้อม ปัญหาทางด้านกองทัพภาคที่ 1 กองทัพภาคที่ 1 ก็จะต้องพร้อม แม่ทัพจะต้องทำหน้าที่สั่งการผู้ใต้บังคับบัญชาในการปกป้องอธิปไตยหากพื้นที่ถูกยึดไปก็จะต้องเอาคืน" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว