“ปลอดประสพ” ขวางบอกยังไม่ถึงเวลา “เพื่อไทย” เปลี่ยนโครงสร้าง ปัดดัน “ยิ่งลักษณ์” นั่งแม่ทัพ เสนอลดอำนาจ “เจ๊หน่อย” ชง “เหลิม” ช่วยคุม อ้าง “นายใหญ่” ไม่ได้ไฟเขียว “มิ่งขวัญ” นำซักฟอกรัฐบาล แนะต้องเปิดโหวต
วันนี้ (5 ม.ค.) ที่พรรคเพื่อไทย นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
กล่าวถึงกระแสข่าวคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยจะสนับสนุ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ว่า เรื่องนี้ในฐานะที่ตนเป็นรองหัวหน้าพรรค ที่นั่งประชุมร่วมกับคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 4 ม.ค. ยืนยันได้ว่าในที่ประชุมคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ไม่ได้มีใครพูดเรื่องนี้เลย แต่อาจจะเป็นความคิดเห็นของใครคนใดคนหนึ่งที่ออกมาให้ความคิดเห็นกับสื่อเท่านั้น เพราะขณะนี้พรรคเพื่อไทย ยังไม่มีสัญญาณว่าจะมีการปรับเปลี่ยนคณะกรรมการบริหารพรรคใด ๆ โดยไม่มีการพูดถึงทั้งชื่อของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และ ดร.วีรพงษ์ รามางกูร อดีต รมว.คลัง ขณะนี้พรรคเพื่อไทยมีรายชื่อผู้ที่เหมาะสมจะเป็นหัวหน้าพรรคหรือแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีหลายคน ซึ่งบางคนอาจจะต้องการสนับสนุน น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะเห็นว่าเป็นผู้หญิงเก่งและประเทศไทยก็น่าจะถึงเวลามีนายกรัฐมนตรีหญิงแล้ว ส่วน ดร.วีรพงษ์ ก็มีการพูดถึงกันมานานแล้ว แต่ยังไม่มีความชัดเจนใด ๆ
นายปลอดประสพ กล่าวต่อว่า จากการประชุมคณะทำงานด้านเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 4 ม.ค. มีการพูดคุยกันอยู่ 2-3 ประเด็น
แต่ที่สำคัญคือเรื่องของการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่พรรคจะต้องเตรียมข้อมูลเอาไว้สำหรับยื่นญัตติ และการประเมินสถานการณ์ในพื้นที่ กทม.โดยทุกคนเป็นห่วงว่าในการเลือกตั้งทั่วไปว่า กทม. จะเป็นภาคที่น่าเป็นห่วงที่สุด เพราะพรรคยังหาสาเหตุไม่ได้ว่าเหตุใดคน กทม. ถึงไม่ยอมรับพรรคเพื่อไทย แม้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์จะพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่มีประสิทธิภาพในการบริหารบ้านเมือง อีกทั้งยังสร้างปัญหาอย่างกรณีของนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติรวม 7 คนที่ลุกล้ำดินแดนกัมพูชาจนถูกจับขนบานปลายเป็นปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
“เราประเมินกันว่าคงเป็นเพราะคน กทม.ต้องการแค่ให้มีชีวิตปกติ ไม่อยากเลือกพรรคเพื่อไทยมาแล้วมีกลุ่มออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านอีก แต่เราก็จะพยายามแก้ไขปัญหา ซึ่งในการประชุมที่มีนายวิชาญ มีนชัยนันท์ ประธานภาค กทม.ร่วมประชุมอยู่ด้วยนั้นได้มีการเสนอให้ภาค กทม.แบ่งออกมาเป็น 2 ส่วนคือ กทม.เหนือและ กทม.ใต้ แล้วแต่งตั้งให้มีบุคคลมารับผิดชอบแต่ละพื้นที่อย่างชัดเจน เพราะ กทม.ที่มีพื้นที่รวม 30 กว่าเขตถือว่ากว้างขวางมาก หากจะให้ทีม กทม. ดั้งเดิมที่พรรคมีอยู่ดูแลเพียงแต่ผู้เดียว”นายปลอดประสพ กล่าว
เมื่อถามว่า เคยมีข้อเสนอให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย เข้ามาดูแลพื้นที่ กทม.ส่วนหนึ่งก่อนหน้านี้ นายปลอดประสพ กล่าวว่า“ส่วนตัวผม ผมเชื่อว่าถ้ามอบหมายให้ ร.ต.อ.เฉลิม มาดูแล กทม. หลังจากมีการแบ่งโซนกันแล้ว ร.ต.อ.เฉลิม จะต้องยอมรับอย่างแน่นอน”
นายปลอดประสพ กล่าวอีกว่า สำหรับกรณีการอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้นขณะนี้ยังไม่แน่นอนว่า นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย จะได้เป็นแกนนำในการอภิปรายไม่ไว้วางใจและแนบชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีในญัตติหรือไม่ เพราะพรรคยังไม่ได้มีมติที่ชัดเจน และกรณีที่ "ส.ส.กลุ่มมิ่งขวัญ" ของนายมิ่งขวัญ ไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์แล้วบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไฟเขียวให้นายมิ่งขวัญ เป็นผู้นำในการอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้นคงจะเป็นการเข้าใจผิด
“เมื่อมี ส.ส.กลุ่มหนึ่งไปขอคำปรึกษาเรื่องนายมิ่งขวัญ จะเป็นแคนดิเดต นายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ก็บอกเพียงว่าการพิสูจน์ตัวเองในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นหนทางหนึ่งที่จะทำให้นายมิ่งขวัญ ได้รับการยอมรับ หากต้องการจะขึ้นเป็นแคนดเดตนายกรัฐมนตรี และขณะนี้ในพรรคก็มีอีกหลายคนที่เสนอตัวเป็นผู้นำการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งล่าสุดนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย ก็เสนอตัวมาเป็นแคนดิเดตผู้นำอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว” รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าว.