เมื่อวันที่ 1 มกราคม นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) กล่าวว่า รัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศ ด่วนสรุปเร็วเกินไปว่าคนไทยทั้ง 7 คนที่ถูกกัมพูชาควบคุมตัวไปนั้น รุกล้ำพื้นที่กัมพูชา ทั้งที่การพิสูจน์จากภาพวิดีโอยังไม่เสร็จสิ้น และที่ผ่านมากัมพูชาเป็นฝ่ายพูดข้างเดียว การที่รัฐบาลพูดว่าทั้ง 7 คนทำผิด อาจส่งผลเสียเพราะจะทำให้ทั้ง 7 คน สู้คดียากขึ้น อีกทั้งที่ผ่านมาประชาชนกัมพูชารุกล้ำดินแดนเข้ามา แต่รัฐบาลไม่ดำเนินการใดๆ ฉะนั้น รัฐบาลควรมีท่าทีที่แข็งกร้าวมากกว่านี้
นายปานเทพกล่าวอ้างว่า การเดินทางไปสำรวจพื้นที่ของคณะนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้ ติดต่อผ่านทางนายเทพมนตรี ลิมปะพยอม โดยบอกว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ต้องการที่จะนำตัวแทนกลุ่ม พธม.เข้าไปดูในพื้นที่ เพื่อพิสูจน์ว่ายังมีทหารไทยประจำการอยู่ โดยตั้งใจที่จะให้ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำ พธม. เดินทางไปเอง แต่แกนนำ พธม.วิเคราะห์ว่าหาก พล.ต.จำลองเดินทางไปเอง จะเป็นการจัดฉากการันตีความชอบธรรมได้ จึงตัดสินใจส่งนายแซมดิน เลิศบุตร และนายวีระ สมความคิด เดินทางไปแทน
ด้านเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ นำโดยนายสุนทร รักษ์รงค์ นายทศพล แก้วทิมา และนายสมบูรณ์ ทองบุราณ เดินเท้าจากบริเวณหน้าประตู 4 ทำเนียบรัฐบาล ไปยังองค์การสหประชาชาติประจำประเทศไทย ถนนราชดำเนิน เมื่อเวลา 13.00 น. เพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องให้พิจารณาดำเนินการเพื่อให้ความคุ้มครองสิทธิพลเมืองและสิทธิแห่งความมีมนุษยธรรมแก่คนไทยทั้ง 7 คน
"เรามีหลักฐานเอกสารสิทธิการเป็นเจ้าของที่ดินของราษฎรไทยบ้านโนนหมากมุ่น ตำบลโคกสูง เป็นตัวอย่างหนึ่ง นอกจากนี้หน่วยงานของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือยูเอ็นเอชซีอาร์ ซึ่งเคยจัดตั้งศูนย์อพยพชั่วคราวในพื้นที่ชายแดนไทยบริเวณหลักเขตที่ 46 ที่บ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ปัจจุบัน (อดีตคือ จ.ปราจีนบุรี) เมื่อครั้งเกิดสงครามในประเทศกัมพูชา ปี พ.ศ.2520-2521 และยังคงมีชาวกัมพูชาที่อพยพมานั้นไม่ยอมอพยพกลับออกไปจากพื้นที่ หน่วยงานนี้ยังสามารถเป็นพยานได้ การกระทำของกัมพูชาไม่ได้ทำเพียงครั้งเดียว ถือเป็นการรุกรานและคุกคามสิทธิพลเมือง ตลอดจนไร้ความมีมนุษยธรรมต่อพลเรือนของอีกชาติหนึ่งที่มีปัญหาเขตแดนระหว่างกัน ถือว่าเป็นการกระทำขัดต่อสนธิสัญญาเจนีวาที่ไทยและกัมพูชาต่างเป็นภาคีสมาชิก จึงขอให้พิจารณาดำเนินการเพื่อให้ความคุ้มครองสิทธิพลเมืองและสิทธิแห่งความมีมนุษยธรรมแก่คนไทยด้วย" นายสุนทรอ่าน
แถลงการณ์เครือข่าย จากนั้นนำหนังสือและข้อมูลที่อ้างว่าเป็นหลักฐานเอกสารสิทธิการเป็นเจ้าของที่ดินของราษฎรไทยบ้านโนนหมากมุ่น มอบให้กับนายโชติพงษ์ คำผาย รักษาการหัวหน้ารักษาความปลอดภัยประจำยูเอ็น เพื่อส่งต่อไปยังเลขาธิการสหประชาชาติ ผ่านองค์การสหประชาชาติประจำประเทศไทยต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มเครือข่ายนำพวงหรีดสีดำระบุข้อความว่า "โน เวิลด์ เฮอริเทธ" (No World Heritage) ไปแขวนไว้ที่บริเวณประตูองค์การสหประชาชาติ และนัดแถลงในวันที่ 2 มกราคม โดยกล่าวอ้างว่าจะนำหลักฐานที่เป็นตัวบุคคลพร้อมเอกสารสิทธิการเป็นเจ้าของที่ดินของราษฎรไทยมาแสดงด้วย
ขณะที่ นายชุมพล สังข์ทอง อดีตกรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่ และเลขานุการส่วนตัว น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตรัฐมนตรีว่ากระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ขอเรียกร้องไปยังนายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่กำกับดูแลกรมที่ดิน ควรแสดงความชัดเจนและยืนยันถึงพื้นที่ดังกล่าวที่ถูกทางการกัมพูชากล่าวหานายพนิชพร้อมพวกรุกล้ำและเข้าเมืองผิดกฎหมาย เป็นพื้นที่ของใคร เพื่อไม่ให้คลุมเครือใช้กล่าวอ้างกันลอยๆ เพราะพื้นที่ดังกล่าวมี น.ส.3 ก. ระบุชัดเจนโดยชาวบ้านได้สิทธิครอบครอง มีเอกสารสิทธิครองที่ดินมาตั้งแต่ปี 2517 ขณะที่ยังเป็น จ.ปราจีนบุรี อีกทั้งนายพนิชพร้อมกับพวกเข้าไปในพื้นที่ก็เป็นที่นาซึ่งมี น.ส.3 ก. ยืนยันว่าเป็นเขตแดนไทยในช่วงหลักเขตแดนที่ 46 ที่ อ.โคกสูง จ.สระแก้วไม่ใช่ที่รกร้างว่างเปล่าตามที่ทางกัมพูชากล่าวอ้าง นอกจากนี้นายถาวรควรสั่งการไปยังกรมที่ดินและสำนักงานที่ดิน จ.สระแก้วให้ตรวจสอบและพิสูจน์สิทธิพื้นที่ เพราะมีอำนาจตามกฎหมายอยู่แล้ว โดยนายถาวรจะต้องสั่งการให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์รังวัดเพื่อให้ได้ข้อยุติและนำชี้ที่ดินที่เป็นปัญหาว่าอาณาเขตถึงไหนอย่างไร