แม้ว แจงถึงลูกถึงคนไม่ชัด - ปชช.อยากเห็นเวทีเจรจา 3 ฝ่าย
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 12 มีนาคม 2549 17:54 น.
เอแบคโพลล์ สำรวจความคิดเห็นประชาชน พบคน กทม.ส่วนใหญ่ติดตามการชี้แจงของ ทักษิณ ในรายการ ถึงลูกถึงคน พบชี้แจงหลายประเด็นไม่ชัดเจน ทั้งการแทรกแซงสื่อ การประกาศภาวะฉุกเฉิน การยึดทรัพย์ถ้าลาออก รวมไปถึงการซื้อขายหุ้น การหันหน้าเจรจากับทุกฝ่ายด้วยสันติวิธี ขณะเดียวกันชาว กทม.ต้องการให้เกิดเวทีเจรจา 3 ฝ่าย
สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ สำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่อง ประชาชนคิดอย่างไรต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่รายการถึงลูกถึงคน และการร่วมมือร่วมใจแก้วิกฤตการเมืองไทยขณะนี้ ในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล จำนวนทั้งสิ้น 1,618 ตัวอย่าง ในวันที่ 11 มีนาคม 2549 โดยพบว่า กลุ่มตัวอย่างติดตามข่าวสารสถานการณ์การเมืองลดลงจากวันที่ 6 มีนาคม 2549 ที่ผ่านมา คือจากร้อยละ 76.1 ลดลงเหลือ ร้อยละ 58.1
และเมื่อถามถึงการติดตามการชี้แจงตอบข้อซักถามของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในรายการถึงลูกถึงคน พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่หรือร้อยละ 62.1 ติดตามการชี้แจง และร้อยละ 37.9 ไม่ได้ติดตาม ซึ่งกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 45.8 ระบุ พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบข้อซักถามและชี้แจงในเรื่องการขายหุ้นได้อย่างชัดเจน ขณะที่ร้อยละ 41.8 ระบุไม่ชัดเจน และร้อยละ 12.4 ไม่มีความเห็น
สำหรับความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างต่อการชี้แจงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในเรื่องการลาออกนั้น พบว่า ร้อยละ 45 ระบุชัดเจน ขณะที่ร้อยละ 39.4 ระบุไม่ชัดเจน และร้อยละ 15.6 ไม่มีความเห็น และเมื่อสอบถามความคิดเห็นต่อคำชี้แจงเกี่ยวกับการยึดทรัพย์หลังการลาออกนั้น พบว่า ร้อยละ 28.7 ระบุชี้แจงได้ชัดเจน ขณะที่ร้อยละ 32.3 ระบุไม่ชัดเจน และร้อยละ 39 ไม่มีความเห็น
นอกจากนี้ ผลการสำรวจยังพบว่า กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 44.4 ระบุ พ.ต.ท.ทักษิณ ชี้แจงเรื่องการตั้งคนกลางเพื่อตรวจสอบตนเองได้ชัดเจน ขณะที่ร้อยละ 32.8 ระบุไม่ชัดเจน และร้อยละ 22.8 ไม่มีความเห็น
นอกจากนี้ ผลการสำรวจความคิดเห็นกรณีการชี้แจงในเรื่องการแทรกแซงสื่อนั้น พบว่า ร้อยละ 37.4 ระบุชี้แจงได้ชัดเจน ขณะที่ร้อยละ 37.9 ระบุไม่ชัดเจน และร้อยละ 24.7 ไม่มีความคิดเห็น อย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามถึงการชี้แจงเรื่องการกำหนดวันเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายนนั้น พบว่าร้อยละ 68.1 ระบุชี้แจงได้ชัดเจน ขณะที่ร้อยละ 21.6 ระบุไม่ชัดเจน และร้อยละ 10.3 ไม่มีความเห็น
เมื่อสอบถามถึงความชัดเจนของคำชี้แจงของ พ.ต.ท.ทักษิณ เรื่องการประกาศรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้งหากได้รับคะแนนเสียงเกินกว่าครึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ พบว่าร้อยละ 63.2 ระบุชัดเจน ขณะที่ร้อยละ 21.8 ระบุไม่ชัดเจน และร้อยละ 15 ไม่มีความเห็น ส่วนความเห็นเกี่ยวกับความชัดเจนเรื่องการประกาศภาวะฉุกเฉินนั้น พบว่า ร้อยละ 31.1 ระบุชัดเจน ขณะที่ร้อยละ 36.1 ระบุไม่ชัดเจน และร้อยละ 32.8 ไม่มีความเห็น
ส่วนประเด็นสำคัญที่พบจากการสำรวจและกำลังเป็นที่จับตามองของทุกฝ่าย คือ การตอบข้อซักถามของ พ.ต.ท.ทักษิณ เกี่ยวกับแนวทางการเจรจากับฝ่ายต่างๆ เพื่อยุติปัญหาการเมืองที่กำลังร้อนแรงอยู่ขณะนี้ พบว่า ร้อยละ 43.1 ระบุตอบข้อซักถามมีความชัดเจน ขณะที่ร้อยละ 41 ระบุไม่ชัดเจน และร้อยละ 15.9 ไม่มีความเห็น
สำหรับความคิดเห็นต่อความเหมาะสมของการดำเนินรายการถึงลูกถึงคน โดยนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผลสำรวจพบว่าตัวอย่างร้อยละ 76.6 ระบุทำหน้าที่ได้เหมาะสม ขณะที่ร้อยละ 10.5 ระบุไม่เหมาะสม และร้อยละ 12.9 ไม่มีความเห็น
ทั้งนี้ คะแนนเฉลี่ยที่ประชาชนโหวตให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และนายสรยุทธ สุทัศนะจินดานั้น พบว่า ในส่วนของการดำเนินรายการและการตั้งคำถามของนายสรยุทธ ได้คะแนนเฉลี่ย 8.04 จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน ขณะที่การชี้แจงและตอบคำถามของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้คะแนนเฉลี่ย 7.18 จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน
เมื่อสอบถามถึงสิ่งที่พรรคร่วมฝ่ายค้านควรทำเพื่อแก้ไขวิกฤตการเมืองไทย 3 อันดับแรก ได้แก่ ควรหันหน้าเจรจากันกับทุกฝ่ายอย่างสันติวิธี (ร้อยละ 41.9) ควรส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง (ร้อยละ 24.1) และหยุดการโจมตีรัฐบาล (ร้อยละ 24.1) ตามลำดับ
สำหรับสิ่งที่อยากให้กลุ่มสนับสนุนนายกรัฐมนตรีและไม่สนับสนุนนายกรัฐมนตรีควรทำเพื่อแก้ไขวิกฤติการเมืองไทย 3 อันดับแรก ได้แก่ ยุติการประท้วง/ยุติการชุมนุม (ร้อยละ 50.6) ควรหันหน้าเจรจากันกับทุกฝ่ายอย่างสันติวิธี (ร้อยละ 31.7) และทำตามระบอบประชาธิปไตย (ร้อยละ 14.6) ตามลำดับ
สิ่งที่กลุ่มตัวอย่างอยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำเพื่อแก้ไขวิกฤติการเมืองไทย 3 อันดับแรก ได้แก่ ควรหันหน้าเจรจากันกับทุกฝ่ายอย่างสันติวิธี (ร้อยละ 30.6) ทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรีต่อไป (ร้อยละ 28.6) และลาออก (ร้อยละ 16.9) ตามลำดับ
สำหรับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลความมั่นคงควรทำสิ่งต่อไปนี้เพื่อแก้ไขวิกฤติการเมืองไทย 3 อันดับแรก ได้แก่ วางตัวเป็นกลาง (ร้อยละ 43.8) ดูแลความสงบเรียบร้อย/รักษาความปลอดภัยของประชาชน (ร้อยละ 30.5) และเป็นคนกลางเชื่อมโยงทุกฝ่ายให้หันหน้าเจรจากันด้วยสันติวิธี (ร้อยละ 11.9) ตามลำดับ
สิ่งที่สื่อมวลชนควรทำเพื่อแก้ไขวิกฤติการเมืองไทย 3 อันดับแรก ได้แก่ รายงานข่าวอย่างตรงไปตรงมา/ไม่บิดเบือนข่าว/ไม่เสนอข่าวเกินจริง (ร้อยละ 62.5) นำเสนอข่าวอย่างเป็นกลางและยุติธรรม (ร้อยละ 36.9) และไม่ใส่ร้ายบุคคลอื่น (ร้อยละ 10.2) ตามลำดับ
ส่วนสิ่งที่ประชาชนควรทำสิ่งต่อไปนี้เพื่อแก้ไขวิกฤตการเมืองไทย พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ ไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน 2549 (ร้อยละ 32.1) เลิกสนับสนุนกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วง/ไม่เข้าร่วมการชุมนุม (ร้อยละ 15.4) และใช้สติในการตัดสินใจและรับฟังข้อมูลข่าวสารต่างๆ อย่างมีสติ/รอบคอบ (ร้อยละ 15.4) ตามลำดับ
เมื่อสอบถามเกี่ยวกับการลาออกของ พ.ต.ท.ทักษิณ ภายหลังการเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายนนี้ พบว่า ประชาชนจำนวนมากแต่ยังไม่ใช่คนส่วนใหญ่ของกลุ่มที่ถูกศึกษาหรือร้อยละ 44.5 มีความเห็นว่าไม่ควรลาออกทันที ร้อยละ 24.4 เห็นว่าควรลาออกทันที และร้อยละ 31.1 ไม่มีความเห็น
เป็นที่น่าสังเกตว่า มีประชาชนเกือบ 1 ใน 3 ที่ยังต้องการข้อมูลและความชัดเจนของสถานการณ์ทางการเมืองก่อนตัดสินใจแสดงความคิดเห็นในประเด็นการลาออกทันทีของนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้ง และอีกส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มประชาชนที่ไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับการเมือง
นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ กล่าวว่า ผลวิจัยครั้งนี้ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า ความเข้มข้นในพฤติกรรมการติดตามข่าวการเมืองของประชาชนเริ่มลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จากร้อยละ 76.1 เหลือร้อยละ 58.1 ลดลงประมาณร้อยละ 18
แต่เมื่อสอบถามเฉพาะกลุ่มคนที่ติดตามการชี้แจงและตอบข้อซักถามของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในรายการถึงลูกถึงคน พบว่า ประชาชนจำนวนมากระบุนายกรัฐมนตรีชี้แจงหลายประเด็นยังไม่ชัดเจน เช่น การแทรกแซงสื่อมวลชน การประกาศสภาวะฉุกเฉิน การยึดทรัพย์ถ้าลาออก รวมไปถึงการซื้อขายหุ้นและการหันหน้าเจรจากับทุกฝ่ายด้วยสันติวิธี