อ้างคำวินิจฉัยของนายทะเบียนไม่เห็นสั่งฟ้อง
"ประชาธิปัตย์" หวัง 2 เด้ง ลอยลำตามคดี 29 ล.อ้างวินิจฉัยส่วนตน นายทะเบียนไม่มีความเห็นสั่งฟ้อง เริ่มถก 258 ล. นัดคู่ความสองฝ่าย "เพื่อไทย" ดักคออย่ารอชนะฟาวล์ แพร่คำวินิจฉัยส่วนตนผ่านเว็บไซต์แล้ว ศึกสมาร์ทการ์ด นายกฯ ยันจบแล้วตามมติ ครม. แก้กฎกระทรวง มท.ฉบับ 22 รองรับ 9 ล้านใบเจ้าปัญหา “เพื่อไทย” เตรียมเทียบคดีหวยบนดิน ฟ้องดะสมาร์ทการ์ดสับกรรมสนองแน่ ไม่แปลกใจ รมต.พรรคร่วมไม่ออกเสียง “ชวรัตน์” ยันภูมิใจไทยไม่ถูกหักหน้า กฤษฎีกาเผยไม่ต้องตีความแล้ว 2 รอบชัดเจน ตรวจสอบ 1 สัปดาห์เดินหน้าได้ “วิชาญ” ปัดพาชมผลงานรถดับเพลิงจอดเดี้ยงตัดแต้ม “หล่อเล็ก” เผยเสียค่าจอดเกือบ 200 ล. ใครรับผิดชอบ กลัว กทม. จ่ายเงินบานปลาย ส่งคลิป “บุญจง” เข้า กกต. “เพื่อไทย” โวยอำนาจรัฐบีบหาเสียง
มติครม.สมาร์ทการ์ดจบ
เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีข่าวว่ากระทรวงมหาดไทยจะส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความเรื่องการแก้กฎกระทรวงในการจัดทำบัตรประชาชนอิเล็กทรอนิกส์ (สมาร์ทการ์ด) ว่า ไม่ต้องยื่นไปแล้ว เพราะจบไปแล้ว เนื่องจากมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 7 ธ.ค.ที่ผ่านมา นั้นอยู่บนพื้นฐานของคำแนะนำของคณะกรรมการกฤษฎีกา หลังจากที่เราได้ส่งไป ตีความจากปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ตนยัง ไม่ทราบว่าจะมีการไปถามคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องใด
ต่อข้อถามว่าเรื่องนี้จะทำให้พรรคร่วมรัฐบาลเกิดปัญหาขัดแย้งกันอีกรอบหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนมีหน้าที่แก้ปัญหาให้ประชาชน ตอนนี้เราต้องการให้ประชาชนมีบัตรใช้เร็วที่สุด และบัตรที่จะทำถ้าในระบบความปลอดภัยที่ดี มันก็น่าจะเป็นประโยชน์ของทุกฝ่าย ดังนั้น เมื่อแนวทาง เป็นอย่างนี้ก็ควรจะเร่งเดินหน้าทำตามนี้ ในอนาคตจะไม่เกิดปัญหากับเรื่องของบัตรสมาร์ทการ์ดแล้ว เพราะถ้าสมมุติว่าเราทำตัวกฎกระทรวงมีความสอดคล้องกับบัตรที่มีระบบความปลอดภัย ก็น่าจะเดินได้ และไม่น่าจะมีการฟ้องร้องกันด้วย
“ปู่จิ้น”ยันไม่ถูกหักหน้า
นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาด ไทย กล่าวถึงกรณีที่นายกฯ ให้แก้กฎกระทรวงมหาดไทยฉบับที่ 22 เพื่อรองรับการใช้บัตรประชาชนอิเล็กทรอนิกส์ หรือสมาร์ทการ์ด 9 ล้านใบ แม้ก่อนหน้านี้กระทรวงมหาดไทยยืนยันไม่แก้กฎกระทรวงว่า ไม่ถือเป็นการหักหน้าพรรคภูมิใจไทย เพราะเป็นทางออกที่ดีและช่วยประหยัดงบประมาณ ทั้งนี้คาดว่าการแก้กฎกระทรวงจะแล้วเสร็จภายใน 2 สัปดาห์ จากนั้นส่งให้กฤษฎีกา และสามารถบริการประชาชนได้ภายใน 1 เดือน การที่กระทรวงมหาดไทยคัดค้าน ไม่รับรองบัตรสมาร์ทการ์ด ที่ผลิตไม่ถูกต้องตามกฎกระทรวง เป็นการรักษาผลประโยชน์เพื่อให้ประชาชนได้ใช้บัตรสมาร์ท การ์ดที่ถูกต้อง
นายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะอดีตอธิบดีกรมการปกครอง กล่าวถึงการแก้กฎกระทรวงว่า เห็นด้วย เพราะเราต้องดูเจตนาของ ครม. เพื่อให้เกิดความมั่นคงของประเทศชาติ รูปแบบบัตร ที่ครม.มีมติ ก็มีวัสดุการป้องกันการปลอมแปลง กฎหมายจะต้องให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ขนาดรัฐธรรมนูญ ยังแก้ได้ เรื่องบัตรสมาร์ทการ์ดที่ตนเคยรับรองระบบป้องกันการปลอมแปลงไป ก็เพื่อความมั่นคงของประเทศชาติ เนื่องจากมีผู้แจ้งหน่วยงานราชการต่าง ๆ ที่ใช้ข้อมูลจากกรมการปกครอง
แก้ผิดให้ถูกกรรมซัด
ที่พรรคเพื่อไทย นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎร แถลงถึงกรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติให้แก้ไขกฎกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้การดำเนินการจัดทำบัตรสมาร์ทการ์ดที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสน เทศและการสื่อสารหรือไอซีทีเป็นผู้ว่าจ้างเอกชนให้จัดทำบัตรสามารถดำเนินการต่อไปได้ว่า ที่ประชุม ครม.ชุดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ มีมติให้แก้ไขกฎกระทรวงมหาดไทย เพื่อแก้ไขสิ่งที่ได้กระทำผิดไปแล้วให้ถูกต้อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้
นายสุรพงษ์ ระบุอีกว่า รัฐบาลชุดนี้เคยดำเนินการฟ้องร้อง พ.ต.ท.ทักษิณ กรณีมีมติ ครม.เรื่องหวยบนดิน ดังนั้นตนจะดำเนินการฟ้องร้องทุกช่องทางอย่างที่เคยดำเนินการกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ เพื่อให้สอบสวนค้นหาผู้กระทำความผิด การทำสิ่งที่ได้ทำผิดไปแล้วด้วยการมีมติให้แก้ไขกฎกระทรวงเพื่อให้เป็นสิ่งถูกต้องนั้น ทำไม่ได้ จึงไม่แปลกที่รัฐมนตรีจากพรรคร่วมรัฐบาลงดออกเสียงเหมือนกันหมด วันนี้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ควรรู้ว่ากรรมที่เคยทำเอาไว้ กำลัง ตามสนอง
2 รอบแล้วไม่ต้องตีความ
นายอัชพร จารุจินดา เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวถึงกรณีที่กระทรวงมหาดไทยเตรียมสอบถามความเห็นไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาว่าจะสามารถแก้ไขกฎกระทรวงมหาดไทยฉบับที่ 22 ตามมติครม.เพื่อรองรับบัตรประจำตัวประชาชนสมาร์ทการ์ดได้หรือไม่ว่า คาดว่ากฤษฎีกาคงจะใช้เวลาในการตรวจสอบรายละเอียดและข้อกฎหมาย ประมาณ 1 สัปดาห์ ทั้งนี้กฎกระทรวงที่แก้ไขจะมีรายละเอียดทั้งหมด เพื่อต้องการให้บัตรสมาร์ทการ์ดใช้ได้จริง และหากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงไอซีทีเห็นตรงกันตามมติ ครม. ก็เชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
นายอัชพร กล่าวว่า คงไม่จำเป็นต้องสอบถามความเห็นหรือให้ตีความอะไรอีกแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ เคยตีความเกี่ยวกับปัญหาเรื่องสมาร์ทการ์ดมาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกมีการส่งมาสอบถามเรื่องบัตรที่ใช้อยู่ไม่ตรงกับกฎกระทรวง และในครั้งที่ 2 ถามว่าหากแก้ไขจะต้องดำเนินการอย่างไร ซึ่งกฤษฎีกาก็ได้ตอบไปแล้วว่าการแก้ไขสามารถทำได้ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากความเข้าใจไม่ตรงกัน ต้องมีการแก้ไขกฎกระทรวง นอกจากนี้ยังมีความเข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ออกบัตรมีอำนาจในการออกรายละเอียดในการแก้ไขบัตรคาดว่าเมื่อมีการกำหนดรูปแบบ ไว้ในกฎกระทรวงตามที่ตกลงใน ครม.แล้ว ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอย่างใด
นัดแรกถก 258 ล.คดีปชป.
รายงานข่าวจากศาลรัฐธรรมนูญแจ้งว่า ในวันที่ 9 ธ.ค. เวลา 10.00 น. คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนำโดยนายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมองค์คณะทั้งหมด 7 คน มีกำหนดออกนั่งบัลลังก์นัดพร้อมคู่กรณีเป็นครั้งแรกในคดีที่อัยการสูงสุด (อสส.) ในฐานะผู้ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะผู้ถูกร้องในข้อกล่าวหาได้รับบริจาคเงิน 258 ล้านบาทจากบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ผ่านทางบริษัท เมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2548
กรณีดังกล่าว อาจเข้าข่ายกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง หลังจากที่ อสส.ได้ยื่นคำร้อง ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหามายังศาลแล้ว โดยการนัดพร้อมคู่กรณีวันดังกล่าวถือเป็นการเริ่มต้นกระบวนการพิจารณาคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาทเป็นครั้งแรก นับแต่องค์คณะได้พักการพิจารณาคดีนี้ เพื่อรอให้การพิจารณาวินิจฉัยในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ในข้อกล่าวหาใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาทไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์เสร็จสิ้นก่อน
นัดคู่กรณีพร้อมสองฝ่าย
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับกระบวนการพิจารณาในการนัดพร้อมคู่กรณีวันดังกล่าวนั้น คณะตุลาการจะมีการหารือเพื่อกำหนดประเด็นที่จะวินิจฉัยแห่งคดี พร้อมกับตรวจสอบพยานเอกสารต่าง ๆ ของคู่กรณี และเมื่อประชุมเสร็จ ทางคณะตุลาการจะออกนั่ง บัลลังก์ เพื่ออ่านรายงานกระบวนวิธีพิจารณาคดี อาจเป็นไปได้ที่จะมีการนัดวันให้คู่กรณีมายื่นบัญชีระบุพยาน และตรวจพยานหลักฐานอีกครั้งก่อนจะกำหนดวันนัดสืบพยานฝ่ายผู้ร้องและผู้ถูกร้องตามลำดับต่อไป
นอกจากนี้ อาจรวมถึงประเด็นคำร้องที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ยื่นคัดค้านเพื่อขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดในปัญหาข้อกฎหมายเบื้องต้นที่นายทะเบียนพรรคการเมืองยังไม่ทำความเห็นมาก่อน และขอให้ยกคำร้องไม่จำเป็นต้องพิจารณาคดีต่อไปนั้น ซึ่งศาลอาจให้รวมไว้ในสำนวนคำร้องเพื่อนำไปวินิจฉัยรวมกับคำร้องในคราวเดียวเหมือนคดี 29 ล้านบาท
วันเดียวสั่งจำหน่ายไม่มี
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวจากศาลรัฐธรรมนูญ ระบุว่า ที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญยังไม่เคยเกิดกรณีที่ศาลได้กำหนดวันนัดพร้อมคู่กรณีแล้วงดการสืบพยานเพื่อจำหน่ายคำร้องและวินิจฉัยคดีในวันดังกล่าวไปพร้อมกันแต่อย่างใด ดังนั้นคณะตุลาการจะต้องมีการประชุมเพื่อหารือในกรณีดังกล่าวก่อนว่าจำเป็นต้องให้มีการสืบพยานหรือไม่
แหล่งข่าว ยังกล่าวว่า กรณีคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาทนั้นที่ศาลได้เคยมีการสืบพยานในคดีเงินกองทุนฯ 29 ล้านบาท ซึ่งเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาทด้วยนั้น หากมีข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องการนำสืบเพิ่มเติมอีกครั้งก็เป็นไปได้ที่ศาลจะเรียกพยานที่เคยสืบไปแล้วในคดี 29 ล้านบาทมาสืบเพิ่มเติมก็เป็นได้ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่ที่ดุลพินิจของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในการกำหนดแนวทางการวินิจฉัยในวันดังกล่าวด้วย ซึ่งอาจเป็นไปในทางใดทางหนึ่งแล้วแต่ความเหมาะสมของคณะตุลาการ
เปิดคำวินิจฉัยส่วนตน
วันเดียวกัน เจ้าหน้าที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้นำคำวินิจฉัยส่วนตนของนายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี หนึ่งในตุลาการเสียงข้างมาก ในคดี 29 ล้านบาทของพรรคประชาธิปัตย์ มาแจกจ่ายให้กับสื่อมวลชน มีความยาวถึง 25 หน้า ซึ่งในกรณีคำร้องดังกล่าว นายอุดมศักดิ์ เห็นว่าในการประชุมของ กกต. เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2552 ไม่ว่านายทะเบียนฯ จะมีความเห็นยุบหรือไม่ยุบ แต่ให้ถือว่าในวันดังกล่าวความได้ปรากฏต่อนายทะเบียนและ กกต. แล้ว ต้องเริ่มนับวันที่ต้องยื่นคำร้องตั้งแต่วันดังกล่าว
นอกจากนี้ ยังมีการออกคำแถลง การณ์ โดยตอนหนึ่งชี้แจงว่า “เป็นการขอโอกาสชี้แจงเหตุผลตามความเห็นส่วนตนของผมบ้าง ขอเรียนว่าความเห็นส่วนตนของผมนั้นได้พิจารณาไปด้วยความสุจริตใจเป็นอิสระ เป็นกลางไม่มีผู้ใดก้าวก่ายแทรกแซงแต่อย่างใดทั้งสิ้น พิจารณาที่ยึดตัวบทกฎหมาย และข้อเท็จจริงเป็นหลักโดยอยู่บนพื้นฐานของความเป็นธรรม และประโยชน์ของชาติบ้านเมือง ผมพร้อมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างและผมขอยืนยันว่าผมไม่ได้กระทำการใดไปโดยมีเจตนาทุจริตคดโกงแต่ประการใดทั้งสิ้น ขอความกรุณาให้เกียรติผม ในการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างด้วย จักขอบคุณยิ่ง”
ขยันตามอ่านได้ในเว็บ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ได้นำคำวินิจฉัยกลางและคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 6 คน ที่มีมติ 4 ต่อ 2 ยกคำร้อง กรณีคำร้อง ในคดีที่นายทะเบียนพรรคการเมืองยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์จากกรณีการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อพัฒนาพรรคการเมืองจำนวน 29 ล้านบาทผิดวัตถุประสงค์ และรายงานไม่ตรงตามความเป็นจริง มาลงเผยแพร่ของศาลรัฐธรรมนูญ www.constitutionalcourt.or.th
ปชป.รอ 2 เด้ง 258 ล. รอด
นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานกฎหมายต่อสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ได้เรียกประชุมทีมกฎหมาย เพื่อ เตรียมความพร้อมในการที่ศาลรัฐธรรมนูญ นัดพร้อมคู่ความ วันที่ 9 ธ.ค. พร้อมกับ นำคำวินิจฉัยส่วนตัวของนายอุดมศักดิ์ เมนะ สวัสดิ์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เสียงข้างมากมาศึกษาด้วย จากนั้นนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา หนึ่งในทีมกฎหมาย แถลงว่า เนื่องจากเห็นว่าทั้งคดี 29 ล้านบาท และคดี 258 ล้านบาท เป็นข้อหาตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง ที่ต้องมีความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมือง ซึ่งประธานกกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ไม่ได้ทำความเห็นว่าควรยุบพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่
นายวิรัตน์ กล่าวอีกว่า กรณีนี้ทางพรรคก็ได้ยื่นคำร้องให้ศาลวินิจฉัยข้อกฎหมายเกี่ยวกับอำนาจของนายทะเบียนพรรคการเมือง และกกต. โดยจนถึงขณะนี้ทางอัยการสูงสุดซึ่งเป็นผู้ร้องยังไม่ได้ยื่นคำคัดค้านคำร้องของพรรคแต่อย่างใด จากการศึกษาคำวินิจฉัยส่วนตนของนายอุดมศักดิ์ พบว่ามีความเห็นว่ากระบวนการของกกต.ไม่ชอบ และในเรื่องข้อเท็จจริงตามข้อกล่าวหาอีก 3 ข้อ ก็เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ใช้เงินสนับสนุนจาก กกต. ผิดวัตถุประสงค์ เท่ากับว่าศาลวินิจฉัยตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายครบถ้วน ไม่ใช่เป็นอย่างที่พรรคเพื่อไทยกล่าวหาว่าพรรคประชาธิปัตย์ชนะน็อกหรือชนะฟาวล์ ในคดี 29 ล้านบาทแต่อย่างใด
ดักคอปชป.รอชนะฟาวล์
ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดพร้อมคู่ความคดีที่อัยการสูงสุดร้องให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ กรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาท ในวันที่ 9 ธ.ค. ว่า พรรคเพื่อไทยหวังว่าทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์และสมาชิกคงไม่ใช้มุกเดิม ทั้งนี้ดูเหมือนทีมกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์ที่มีนายชวน เป็นหัวหน้าทีมได้ให้ลูกทีมออกมาให้ข่าวผ่านสื่อแสดงความมั่นอกมั่นใจว่าจะชนะฟาวล์บนตาชั่งอีกครั้งหนึ่ง แต่พรรคเพื่อไทยยังคาดหวังในองค์กรศาลรัฐธรรม นูญที่จะยึดหลักนิติธรรมเพื่อทำความจริงให้ปรากฏต่อสังคม เพราะอย่าลืมว่าคดีนี้เป็นที่สนใจของประชาชนทั่วประเทศ
ชมผลงานรถดับเพลิง
ที่ลานจอดรถ บริษัท นามยง เทอร์มินัล จำกัด ท่าเทียบเรือแหลมฉบัง (เอ 5) จ.ชลบุรี เวลา 11.30 น. นายวิชาญ มีนชัยนันท์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานส.ส.ภาคกทม. พรรคเพื่อไทย พร้อมคณะ นำสื่อมวลชนลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบสถานที่จอดรถน้ำดับเพลิงกทม.ขนาด 6 ล้อ 139 คันของบริษัท สไตเออร์ เดมเลอร์ พุค สเปเชียล ฟาห์ซอย์ จำกัด ประเทศออสเตรียที่จอดทิ้งไว้ลานจอดรถ ตั้งแต่ช่วงที่นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ที่ปรึกษานายกฯ ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าฯ กทม.
นายวิชาญ กล่าวว่า จากการตรวจ สอบพบสภาพรถภายนอกยังใช้งานได้ แต่ถ้าดูภายในตัวรถปรากฏว่าสีของรถ และสภาพยางรถบางส่วนมีความเสียหาย รวมถึงอุปกรณ์ ต่าง ๆ ต้องมีการเปลี่ยนและตรวจเช็ก ก่อนนำมาใช้งานคาดว่าจะใช้เงินจำนวนมาก ซึ่งในขณะนี้ทาง กทม.จ่ายเงินไปทั้งหมด 6 งวด เป็นเงินทั้งสิ้น 2,180 กว่าล้านบาท และกำลังจ่ายงวดที่ 7 ในเดือน ก.พ. 54
เอกชนฟ้อง 177 ล. ค่าจอด
นายวิชาญ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้รถน้ำดับเพลิงที่จอดอยู่ท่าเทียบเรือของบริษัทนามยงฯ ทำให้บริษัทดังกล่าวเป็นผู้เสียหาย เพราะต้องเสียพื้นที่ จำนวน 5 ไร่ เพื่อการจอดรถดังกล่าว ทำให้บริษัทนามยงฯต้องดำเนินการฟ้องร้องกทม. ต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาระหว่างประเทศ โดยบริษัทฯเรียกค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 177 ล้านบาท โดยคิดค่าจอดรถเป็นวันละ 2.5 แสนบาท ซึ่งเป็นสิ่งที่จะต้องมีผู้รับผิดชอบ
นายวิชาญ ระบุอีกว่า ตนมองว่าการทำสัญญาตั้งแต่แรกนั้นไม่พ้นกทม. เพราะหากจะมองว่านายอภิรักษ์ถูกผิดหรือไม่นั้น ขณะนี้ความเสียหายได้ตกอยู่กับคนกทม.เมื่อเกิดไฟไหม้ขึ้นมา แต่รถก็จอดเป็นสุสานแทนที่จะได้ใช้ในการดับเพลิง รวมทั้งการจ่ายเงิน 6 งวดที่ผ่านมา แต่รถยังจอดคาอยู่นั้นไม่เกิดประโยชน์ต่อสังคม ตนคิดว่าเรื่องนี้ยุติลำบาก ตราบใดที่ยังไม่มีการเจรจากัน แม้ว่าจะมีการตั้งอนุญาโตตุลาการขึ้นมา
พท.ปัดตัดแต้ม “หล่อเล็ก”
“การฟ้องร้องดังกล่าวถึงแม้อัยการสูงสุด (อสส.) จะยกฟ้อง แต่นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ระบุว่าในมติของ ป.ป.ช.จะดำเนินการสั่งฟ้องเองนั้น ผมขอเป็นกำลังใจให้ แต่อย่าช้า เพราะเรื่องดังกล่าวมีตัวบุคคลที่มีความผิดอยู่ ผมขอฝาก ป.ป.ช. ไปถึงผู้รับผิดชอบ รวมทั้งนายอภิรักษ์ และม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.ว่า จะทำอย่างไรกับคดีตรงนี้ให้เป็นที่สุด เพื่อประโยชน์ของชาว กทม. อีกทั้งฝากถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ อย่ามองเรื่องตรงนี้เป็นแค่เรื่องท้องถิ่น แต่ขอให้มอง เป็นเรื่องของรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์” นาย วิชาญ กล่าว
เมื่อถามว่า การลงพื้นที่ดูรถดับเพลิงในครั้งนี้จะเป็นการโจมตีนายอภิรักษ์ในช่วงของการเลือกตั้งหรือไม่ นายวิชาญ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยได้ติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอด และได้รับรายงานแจ้งมาจากประชาชน อีกทั้งมีข่าวว่าในวันที่ 24-25 พ.ย. ที่ผ่านมาทาง กทม.ระบุว่าจะพูดคุยเจรจา เพื่อนำรถออกมาใช้งาน แต่การนำรถออกมาใช้จะมีค่าใช้จ่าย เกรงว่าปัญหาเหล่านี้จะมีปัญหาต่อเนื่อง รวมทั้งใกล้ถึงเดือน ก.พ. 54 ที่จะครบรอบชำระเงินงวดต่อไป หากต้องจ่ายเงินไปเรื่อย ๆ จะทำให้เสียหายกับประชาชน
มท.1 ปัดหาเสียงอบต.
นายชวรัตน์ กล่าวถึงกรณีที่นายกฯให้ทำตารางเปรียบเทียบการขึ้นเงินเดือนองค์ การบริหารส่วนตำบล (อบต.) กับ เงินเดือน ของสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) และสมาชิกสภาเขต ว่า ได้สั่งการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ดำเนินการ ยืนยันว่า การขึ้นเงินเดือนไม่ใช่การหาเสียงเลือกตั้งแข่งขันกับพรรคประชาธิปัตย์ที่เตรียมขึ้นเงินเดือนข้าราชการในเดือน เม.ย. แต่เป็นการขึ้นค่าครองชีพให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ หาก ส.ก.และ ส.ข. จะขึ้นเงินเดือนตามแบบมีเหตุผลก็ต้องยอมรับ ส่วนจะมีผลเมื่อไหร่ต้องรอคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ
นายชวรัตน์ ยังกล่าวถึงการเลือกตั้งซ่อมในจังหวัดสุรินทร์ และนครราชสีมา ว่าจะชนะคู่แข่งได้ แม้ตนเอง ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย จะไม่ได้ลงพื้นที่ช่วยหาเสียงก็ตาม ซึ่งที่ไม่ได้ลงพื้นที่ เพราะหวั่นว่า จะเกิดกระแสกดดันข้าราชการในพื้นที่ และไม่เหมาะสม
โวยอย่าใช้อำนาจรัฐบีบ
พล.อ.ชวลิต กล่าวถึงการเลือกตั้งซ่อม 5 เขตว่า การเลือกตั้งที่ออกมาน่าจะมีผลต่อการเลือกตั้งใหญ่ในอนาคต เพราะ ฝ่ายชนะจะขยายผล ขณะที่ฝ่ายแพ้ก็จะ ต้องปรับปรุงให้ดีขึ้น ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคเพื่อไทยก็มีหวังที่จะชนะเพราะรู้ว่ามีความสำคัญต่ออนาคต เมื่อถามว่าหากการเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคเพื่อไทยจะชู พล.อ.ชวลิตเป็นนายกฯ พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า ตอนที่ตนเข้ามาทำงานการเมืองอีกครั้ง ก็ได้ตั้งปณิธาน 5 ข้อเอาไว้แล้วซึ่งทั้ง 5 ข้อก็ไม่มีเรื่องการกลับมาเป็นนายกฯ หากพรรคชูตนเองเป็นนายกฯ ก็ตอบได้คำเดียวว่าไม่ปฏิเสธ
ส่วนนายพร้อมพงศ์ แถลงถึงผลการประชุมคณะกรรมการติดตามการทำงานของรัฐบาล (คตร.) พรรคเพื่อไทยว่า ที่ประชุมได้รับรายงานจากศูนย์ประสานงานเลือกตั้งซ่อม 5 เขต ว่ามี 4 พื้นที่ที่มีการแข่งขันกันดุเดือด และใช้อำนาจรัฐ ข้าราชการ มาเป็นเครื่องมือ คือ ที่ จ.นครราชสีมา สุรินทร์ ขอนแก่น และพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเราได้รวบรวมหลักฐานเตรียมร้องต่อ กกต.ต่อไป ตนอยากเรียกร้องนายอภิสิทธิ์ ให้กำชับข้าราชการที่เอื้อประโยชน์ให้พรรคการเมืองบางพรรควางตัวเป็นกลาง เพราะหากมีการกระทำความผิด ข้าราชการจะผิดมากกว่าคนทั่วไปถึง 2 เท่า และขอให้ กกต.ลงพื้นที่หาข้อเท็จจริงด้วย
ส่งคลิป “บุญจง” เข้ากกต.
ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.อ.สันธิรัตน์ มหัทธนชาติ ผอ.กต. จว.นครราชสีมา กล่าวถึงการตรวจสอบคลิป วิดีโอที่เกี่ยวข้องกับนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. เขต 6 จ.นคร ราชสีมา แทนตำแหน่งที่ว่าง พรรคภูมิใจไทยว่า หลังจากมีผู้นำคลิปวิดีโอที่เกี่ยวข้องกับนายบุญจงจำนวน 2 คลิปมาร้องคัดค้านการเลือกตั้ง ทาง กกต.จว.นครราชสีมา ก็ได้มีการนำเรื่องดังกล่าวเข้าพิจารณาและมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนสอบสวนลงพื้นที่หาข่าว โดยนำคลิปที่ถูกเผยแพร่ที่ 1 มาเป็นหลักในการพิจารณา ส่วนคลิปที่ 2 จะนำมาประกอบการพิจารณาเท่านั้น
พ.อ.สันธิรัตน์ ระบุว่า หลังจากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาทั้งหมดมาพิจารณาสรุป และทำความเห็นเสนอมาที่ กกต.กลาง แล้ว อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ก็ต้องรอการพิจารณาของ กกต.กลางว่า จะมีความเห็น ในเรื่องดังกล่าวออกมาในทิศทางใด ในส่วนของ กกต.จว.นครราชสีมาคงไม่สามารถที่จะสามารถเปิดเผยรายละเอียดของการสืบสวนสอบสวนได้ ด้านนางสดศรี สัตย ธรรม กกต. ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวว่า ยังไม่มีการนำเข้าที่ประชุม กกต. และไม่ทราบว่า ได้มีการส่งเรื่องมาถึง กกต.กลางแล้วหรือไม่ จะเร่งตรวจสอบเรื่องนี้อีกครั้ง