"จุรินทร์" เล็งเพิ่มตำแหน่งข้าราชการ ขอ ก.พ. เพิ่มอีกกว่า 30,000 อัตรา แก้ปัญหาสมองไหล
วันนี้ (6 ธ.ค.) นายบุณย์ธีร์ พานิชประไพ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงมาตรการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนบุคลากรของกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งการสร้างขวัญกำลังใจบุคลากร ว่า เมื่อไม่นานนี้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ทำหนังสือถึงเลขาธิการ คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เพื่อขอให้ ก.พ.ผ่อนคลายหลักเกณฑ์การจำกัดขนาดกำลังคนภาครัฐเฉพาะกระทรวงสาธารณสุข ตามที่มติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายภาครัฐ (คปร.) และขอให้กำหนดตำแหน่งข้าราชการพลเรือน เพิ่มในหน่วยงานสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นหน่วยจัดบริการสุขภาพแก่ประชาชนทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลชุมชน และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ในปีงบประมาณ 2554 จำนวนทั้งหมด 30,087 อัตรา ทั้งนี้ไม่รวมตำแหน่งของพยาบาลวิชาชีพในโครงการผลิตพยาบาลวิชาชีพเพิ่มเพื่อพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ 3,000 คน ที่ได้กันไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้บุคลากร ให้มีความมั่นคงในตำแหน่งอาชีพ
นายบุณย์ธีร์ กล่าวต่อว่า ตำแหน่งที่ขอเพิ่มใหม่ครั้งนี้ ประกอบด้วย ตำแหน่งเพื่อบรรจุเจ้าหน้าที่ที่สถานบริการได้จ้างไว้เป็นลูกจ้างชั่วคราว
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพยาบาลวิชาชีพที่สำเร็จการศึกษา ตั้งแต่ พ.ศ. 2549-2553 จำนวน 23,439 คน และมีนักเรียนทุนที่จะสำเร็จการศึกษาในปี 2554 อีกจำนวน 6,648 คน ประกอบด้วยแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร ที่เป็นนักเรียนทุนรัฐบาลจำนวน 2,769 คน และนักเรียนทุนที่ผลิตโดยสถาบันในสังกัดสถาบันพระบรมราชชนก จะเข้าทำงานในโรงพยาบาลในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขอีก 3,879 คน
นอกจากนี้ นายจุรินทร์ ยังได้ขอให้ ก.พ.เร่งพิจารณาการกำหนดตำแหน่งใหม่ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
เพื่อบรรจุพยาบาลในโครงการผลิตพยาบาลวิชาชีพเพิ่ม เพราะเป็นการแก้ปัญหาขาดแคลนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ที่ขอกันไว้จำนวน 3,000 อัตรา ส่วนกรณีของแพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกรคู่สัญญากระทรวงสาธารณสุขใน พ.ศ.2554 จำนวน 2,769 อัตรา เพื่อจะให้ทันการบรรจุแต่งตั้งในวันที่ 1 เม.ย. 2554
ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขมีความจำเป็นต้องเร่งแก้ไขปัญหาการขาดแคลนบุคลากร
โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ที่ทำงานในโรงพยาบาลในสังกัด แต่มีสถานภาพเป็นเพียงลูกจ้างชั่วคราวของหน่วยงาน ซึ่งไม่มีความมั่นคงในอาชีพ และกำลังคนกลุ่มนี้ ทยอยไหลออกจากโรงพยาบาลทุกปี เนื่องจากมีงานที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ซึ่งขณะนี้รัฐบาลมีนโยบายยกระดับสถานีอนามัยทั้งหมดเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จึงจะต้องมีการเพิ่มกำลังคนในระบบ เพื่อลดผลกระทบต่อการให้บริการสุขภาพแก่ประชาชนทั้งในปัจจุบันและอนาคต และพัฒนาประสิทธิภาพในการให้บริการให้เกิดความเชื่อมั่นต่อประชาชน.