ยื่นร้องบุญจง คลิปว่อน เลี้ยงหัวคะแนน

ฉุนโดนมีดโกน สดศรีโต้'ชวน' 'อภิชาต'ไม่ออก โผล่อีกในยูทูบ 'พสิษฐ์เปิดใจ2'



ผู้สมัครเพื่อไทยบุกกกต.นครราชสีมา ยื่นร้อง"บุญจง วงศ์ไตรรัตน์"ขนผู้ว่าฯโคราช นายอำเภอ พร้อมข้าราชการและผู้นำชุมชนไปเที่ยวระยอง อ้างพักรีสอร์ตหรู แจกเงินค่ารถ จับรางวัลติดมือกลับมาบ้าน ขณะเดียวกันมือดีก็ดอดปล่อยว่อนเว็บยูทูบ ภท.โผล่ป้องวุ่น เลี้ยงนอกพื้นที่ อ้างอาจเป็นคลิปเก๊ก็ได้ ส่วน "ชวรัตน์"ปัดพัลวันอ้างยังไม่เห็น สดศรีฉุนชวนกรีดหากลัวม็อบแดง โต้กลับเดือด ท้าหาหลักฐานมาพิสูจน์ อัดคนมีสติปัญญาไม่วิกลจริตไม่มีทางคิดแบบนี้แน่ โผล่อีกชุด 2 คลิปพสิษฐ์ เปิดใจคดียุบปชป. ซัดอิทธิพลมือที่มองไม่เห็น

อภิชาตเปิดปาก-เตรียมชี้แจง

เมื่อเวลา 09.50 น.วันที่ 3 ธ.ค. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต. พร้อมด้วยนาย สมชัย จึงประเสริฐ นางสดศรี สัตยธรรม นายวิสุทธิ์ โพธิแท่น กกต. และเจ้าหน้าที่กกต. ร่วมปฏิญาณตนเป็นข้าราชการที่ดี และร้องเพลงสดุดีมหาราชา เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา

จากนั้น นายอภิชาต ให้สัมภาษณ์เป็นครั้งแรกถึงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากยกคำร้องยุบพรรคประชาธิปัตย์ กรณีใช้จ่ายเงินสนับสนุนพรรคการเมืองผิดวัตถุประสงค์ เนื่องจากขาดอายุความว่า ตนเคารพในคำวินิจฉัย ของศาลเมื่อได้รับคำวินิจฉัยฉบับเต็มก็อาจต้องชี้แจงบ้าง เพราะเรื่องนี้มีผลกระทบโดยตรงกับตนในฐานะประธานกกต.และตามกฎหมายให้เป็นนายทะเบียนพรรคการเมืองด้วย ยืนยันว่าตนทำทุกอย่างเพื่อชาติ เพื่อแผ่นดิน แต่มีบางสิ่งบางอย่างต้องชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจ เพราะเรื่องนี้อาจเกิดความสับสนวุ่นวาย

นายอภิชาต กล่าวว่า คดีนี้เป็นเรื่องระหว่างหน่วยงานกับหน่วยงาน โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ส่งเรื่องมาให้กกต.พิจารณา ไม่ใช่ เป็นเรื่องที่ผู้มีส่วนได้เสียกับพรรคการเมืองมา ร้องเรียน เมื่อเราได้รับไว้ ตนได้นำเข้าสู่ที่ประชุมกกต. เพื่อให้พิจารณาว่าจะดำเนินการตามที่ดีเอสไอร้องมาได้หรือไม่ ซึ่งที่ประชุมก็เห็นว่าความปรากฏต่อกกต.แล้ว จึงมีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวน โดยใช้อำนาจของกกต.ที่มีอยู่ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเวลานั้นยังถือว่านายทะเบียนไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้อง ต่อมาเมื่อคณะกรรมการ สืบสวนสอบสวน สอบเพิ่มเติมหลายครั้งและ เสนอผลการสอบสวนนำเข้าที่ประชุมกกต.วันที่ 17 ธ.ค.2552 และที่ประชุมได้พิจารณา ซึ่งตรงนั้นถือเป็นต้นเหตุ ตนจะชี้แจงต่อไปหลังจากเห็นคำวินิจฉัยของศาลแล้ว

ยันนายทะเบียนต้องขอมติกกต.

นายอภิชาต กล่าวว่า การพิจารณาคำร้องดังกล่าว ตนไม่ได้ถูกกดดันจากใคร เพราะในฐานะ นายทะเบียนขณะนั้น คือการประชุมวันที่ 17 ธ.ค. 2552 เห็นว่านายทะเบียนยังไม่ได้เข้ามาเกี่ยว ข้อง จะเข้ามาเกี่ยวข้องเมื่อกกต.มีมติเสียงข้างมาก 3 เสียงในการประชุมวันนั้นเห็นว่า นายทะเบียนต้องมีความเห็นตามมาตรา 95 พ.ร.บ.พรรคการ เมือง 2550 ก่อน จึงถือว่านายทะเบียนฯเข้ามาเกี่ยวข้องหลังจากนั้นแล้วและนำไปปฏิบัติ

นายอภิชาต กล่าวว่า ส่วนที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยระบุว่าการที่นายทะเบียนมีความเห็นท้ายหนังสือผลการสอบสวนของคณะทำงานที่นายทะเบียนฯตั้งขึ้นว่า อาจมีการกระทำผิดตามมาตรา 94 ของพ.ร.บ.พรรคการเมือง สมควรให้กกต.พิจารณา ก็ไม่ถือเป็นความเห็นของนายทะเบียนนั้น ตนคิดว่า การมีความเห็นดังกล่าวออกมา ถือเป็นความเห็นของนายทะเบียนแล้ว ซึ่งเรื่องนี้มีความสำคัญ และกฎหมายก็ไม่ได้เขียนว่าให้นายทะเบียนต้องเสนอว่าต้องยุบหรือไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ให้ที่ประชุม กกต. พิจารณา อีกทั้งส่วนตัวเห็นว่าไม่ถูกต้องที่เรื่องสำคัญของชาติบ้านเมือง ในการพิจารณายุบพรรคจะมาอยู่ในมือของนายทะเบียนเพียงคนเดียว เมื่อก่อนกฎหมายพรรคการเมือง พ.ศ.2540 ให้อำนาจการยุบพรรคอยู่ในมือของนายทะเบียน เพียงคนเดียว แต่ทุกวันนี้ตามกฎหมายปัจจุบันไม่ใช่แล้ว จะทำอะไรทุกอย่างในฐานะนายทะเบียนก็ต้องของความเห็นชอบจาก กกต.ทุกครั้ง นายทะเบียนไม่มีอำนาจแต่เพียงผู้เดียว ตนเคยพูดต่อที่ประชุมกกต.ว่า นายทะเบียนเหมือนเด็ก จะทำอะไรต้องมาขออนุญาตผู้ใหญ่ คือ กกต.ซึ่งถือเป็นผู้คุมอีกครั้งหนึ่ง

ไม่ไขก๊อก-ไม่มีใครบีบออก

"ตอนนี้ผมสบายใจและไม่เครียด เพราะทำทุกอย่างตรงไปตรงมา อาจมีน้อยใจบ้างนิดๆ ที่สื่อไปลงข่าวว่ามีกกต.คนนั้นคนนี้กดดันให้ผมลาออก ทั้งที่ความจริงแล้วไม่มีเลย ไม่รู้ว่าไปเอาข่าวมาจากไหน วันที่คุยกันนั้นเป็นการประชุม ลับของ กกต. 5 คน แต่ผมไม่ได้โกรธเคือง พอการประชุมในวันถัดมา ก็ถามกกต.ทุกคนในที่ประชุมว่า การประชุมกกต.ในวันก่อนนั้น มีกกต.คนไหนพูดให้ผมออกจากตำแหน่งไหม ทุกคนบอกว่าไม่มีใครพูด แล้วทุกคนยังแสดงความเห็นใจผมว่าได้ทำเต็มที่แล้ว ได้ทำตามแนวทางที่เคยปฏิบัติ ผมก็เสียใจเหมือนกัน เพราะที่ผ่านมาทำเพื่อบ้านเมืองมาตลอด ไม่คิด คดโกง" นายอภิชาต

ผู้สื่อข่าวถามว่ามีกระแสข่าวว่าอยากออกจาก ประธาน กกต.เพราะไม่อยากเป็นนายทะเบียนแต่เกรงว่าลาออกแล้วจะหลุดจากตำแหน่ง กกต. ด้วย นายอภิชาต กล่าวว่า ตนไม่เคยคิดลาออก เมื่อเข้ามาก็เข้าใจอะไรต่างๆ ประกอบกับกกต. มีวาระอยู่ในตำแหน่ง 7 ปี เราอยู่กันมา 4 ปี กว่าแล้ว และตนไม่เคยคิดจะออกจากประธาน กกต. ตนยังเป็นประธาน กกต.และเป็นนายทะเบียนพรรคการเมือง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่สื่อมวลชนกำลังซักถามนายอภิชาตอยู่นั้น เจ้าหน้าที่กกต.ก็พยายามเชิญตัวนายอภิชาตให้กลับขึ้นห้องทำงานอ้างว่ามีภารกิจอยู่ แต่นายอภิชาต ยังคงตอบคำถามสื่อ แต่เมื่อสื่อพยายามจะถามต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่ได้ดึงตัวนายอภิชาตไปทันที

สดศรีโต้ชวน-อย่ากล่าวร้าย

นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรค การเมือง กล่าวว่า กรณีนายชวน หลีกภัย ประ ธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ระบุว่าตนให้สัมภาษณ์ว่าถูกเสื้อแดงกดดันทำให้ต้องยุบพรรคประชาธิปัตย์นั้น ตนยืนยันว่าไม่เคยพูดในลักษณะนั้น หากนายชวน มีเทปหรือมีหลักฐานขอให้นำออกมาเผยแพร่ เพราะคนดีๆ ที่มีสมอง ไม่วิกลจริต ไม่มีทางพูดแบบนั้นแน่นอน ทั้งนี้ผู้ที่มีอำนาจในเรื่องยุบพรรค มีแค่นายทะเบียนพรรคการเมืองเท่านั้น ส่วนกกต.ทั้ง 4 คนไม่มีอำนาจในเรื่องดังกล่าว

"การพูดเช่นนี้ถือเป็นการกล่าวร้ายกัน ทั้งที่ความเป็นจริงดิฉันไม่เคยพูดแบบนั้น นายชวนเป็นถึงอดีตนายกฯ และเป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมือง ดังนั้นการจะพูดอะไรออกมาต้องมีหลักฐาน ซึ่งดิฉันเป็นเพียงแค่กกต.ตัวเล็กๆ เปรียบเสมือนพระอันดับที่ไม่มีอำนาจ จะเอาอะไรไปยุบพรรคนายชวนได้ ถ้านายทะเบียนไม่ทำความเห็นมาให้ยุบ รวมทั้งเราไม่คิดที่จะเป็นศัตรูกับพรรคการเมืองใด หากไม่มีการร้องเรียนเข้ามา เราคงทำอะไรไม่ได้ แต่เมื่อมีการร้องเข้ามา เราต้องทำตามหน้าที่ คิดว่าเรื่องนี้ควรจบได้แล้ว เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นขณะนี้เป็นเพียงการตีความข้อกฎหมาย" นางสดศรี กล่าว

นางสดศรี กล่าวว่า ส่วนที่จะให้นายทะเบียน พรรคการเมืองทำความเห็นและยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณายุบพรรคประชาธิปัตย์ในคดี 29 ล้านบาทใหม่นั้น กกต.ไม่คิดจะฟ้องซ้ำ แต่ผู้ที่จะทำเรื่องนี้ได้มีเพียงนายทะเบียนฯเท่านั้น ขึ้นอยู่กับประธาน กกต. ในฐานะนายทะเบียนฯว่าจะฟ้องใหม่หรือไม่ ขอให้ไปถามนายอภิชาตเอง และเรื่องดังกล่าวไม่ควรเอากกต.ทั้ง 4 คนไปยุ่งเกี่ยวอีก รวมทั้งไม่ควรนำเรา ไปเป็นศัตรูคู่อาฆาตและเป็นปรปักษ์กับพรรคใด เพราะจะมีประโยชน์หากเอาเราไปเป็นปรปักษ์กับ พรรคการเมือง

เด็กชวนงัดหลักฐานขยี้สดศรี

วันเดียวกัน นายไชยวัฒน์ ไตรยสุนันท์ คณะ ทำงานฝ่ายกฎหมายต่อสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงนางสดศรีให้สัมภาษณ์พาดพิงถึงนายชวน โดยท้าให้นำหลักฐานมาพิสูจน์พร้อมยืนยันไม่เคยพูดว่าถูกกดดันว่า คนที่เป็นกกต.ทำหน้าที่ดูแลจัดการและควบคุมการเลือกตั้ง ให้สุจริตและเที่ยงธรรม ต้องมีจรรยาบรรณและมีมารยาทใช่หรือไม่ การที่นางสดศรี แสดงความคิดเห็นในลักษณะก้าวร้าวต่อนายชวน ซึ่งคนในสังคมให้ความเคารพนับถือ ต้องให้นางสดศรีกลับไปคิดเองว่ายังเหมาะสมที่จะทำหน้าที่กกต.หรือไม่ เพราะถ้าเป็นกกต.แล้ว แต่หัวใจไม่เป็นธรรม มีอคติต่อบุคคล ต่อพรรค ก็ควรพิจารณาตัวเองว่ายังสมควรอยู่ทำหน้าที่ตรงนี้ต่อไปหรือไม่

"คำที่นายชวน ระบุตามข่าวนั้น ผมเองจำได้ว่ามีปรากฏลงอยู่ในสื่อสิ่งพิมพ์ที่ระบุเป็นคำให้สัมภาษณ์ของนางสดศรี ช่วงเดือนธ.ค.2552 หลังจากเหตุการณ์มีม็อบคนเสื้อแดงยกขบวนมากดดันที่หน้าสำนักงาน กกต.โดยนางสดศรี ระบุว่า "ถ้ากดดันกันอย่างนี้ ดิฉันต้องลงความเห็นยุบพรรคประชาธิปัตย์เหมือนอาจารย์วิสุทธิ์ โพธิแท่น" ผมจึงขอให้นางสดศรี กลับไปรื้อดูคำให้สัมภาษณ์ของตัวเอง หรือพูดไปแล้ว ทำเป็นจำไม่ได้ ความจำสั้น ไม่รับผิดชอบต่อคำพูด หรือจะว่าสื่อลงข่าวผิดไปหรือไม่ ผมก็แปลกใจ ทำไมลงผิดเหมือนกันเกือบทุกฉบับ" นายไชยวัฒน์ กล่าว

ใจไม่เป็นธรรม-ไม่ยอมรับศาล

นายไชยวัฒน์ กล่าวว่า กรณีการฟ้องซ้ำในคดี 29 ล้านบาทนั้น เท่าที่จำได้ว่าหลังจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ ก็มีนางสดศรี เป็นผู้เปิดประเด็นเรื่องฟ้องซ้ำว่า หากมีการเปิดช่องให้ กกต.ฟ้องใหม่ได้ก็จะเป็นผู้เสนอให้ประธานกกต.พิจารณาว่าจะฟ้องซ้ำในคดีนี้อีกหรือไม่ แต่วันนี้กลับระบุว่าเป็นหน้าที่ของนายทะเบียนพรรคการเมืองที่จะพิจารณา ดังนั้น การพูดสิ่งใดต้องคิดให้ถ้วนถี่ ยิ่งทำหน้าที่เป็น กกต. ยิ่งต้องมีใจเป็นธรรมและต้องนิ่ง อย่าทำตัวเป็นคู่กรณีในคดีเสียเอง เพราะหน้าที่ที่แท้จริงคือการให้ความเป็นธรรรม และควรให้ความเคารพต่อคำพิพากษาโดยเฉพาะคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ ต้องเป็นที่ยอมรับของทุกองค์กร

เทือกโวมีหลักฐานสู้คดี258ล.

เวลา 08.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงข่าวจะเปลี่ยนตัวหัวหน้าทีมกฎหมายต่อสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ว่า ไม่มีการเปลี่ยนตัว ส่วนทีมกฎหมายได้ประชุมเตรียมพร้อมสู้คดียุบพรรคกรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาทอยู่แล้ว เมื่อถามว่าคิดว่าคดี 258 ล้าน ศาลยกคำร้องเหมือนคดี 29 ล้านบาทหรือไม่ นายสุเทพ หัวเราะพร้อมกล่าวว่า เราตอบไม่ได้ เมื่อถามย้ำว่าในฐานะคนวงในคิดว่าพรรคสามารถชี้แจงข้อมูลต่อศาลรัฐธรรมนูญ และจะหลุดพ้นคดีได้เหมือนคดี 29 ล้านบาทหรือไม่ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า วิธีถามอย่างนี้ถามให้คนเข้าใจผิด เรื่องเงิน 29 ล้านบาทจบไปแล้ว ส่วนที่เขากล่าวหาเรื่องเงินบริจาค 258 ล้านบาทก็ต้องว่าไปตามกระบวนการ ยืนยันว่าพรรคมีข้อเท็จจริงและหลักฐานต่อสู้คดีที่เพียงพอ

เมื่อถามว่าทีมกฎหมายพรรคจะเน้นข้อมูลเรื่องใดเป็นพิเศษ นายสุเทพ กล่าวว่าการรวบ รวมข้อมูลหลักฐานและพยานต่างๆ ทีมกฎหมาย ทำไว้เสร็จแล้ว ต่อไปเป็นเรื่องขั้นตอนดำเนินคดีในศาล

ปชป.ปิ๊ง-ตีปี๊บคำชี้แจง'จรัญ'

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงนายกฯมอบให้ชี้แจงทำความเข้าใจคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรม นูญกรณีเงิน 29 ล้านบาทว่า ต้องเร่งทำความเข้าใจเผยแพร่ข้อมูลให้ประชาชนที่ยังเคลือบแคลงต่อคำวินิจฉัย โดยทำหลายช่องทาง เช่น กรณีนายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรม นูญ ได้อธิบายข้อเท็จจริงในคำวินิจฉัยเพิ่มเติม เนื่องจากช่วงแรกคนเข้าใจผิดว่าคำวินิจฉัยเน้นเรื่องการขาดอายุความ 15 วัน ทั้งที่ความเป็นจริงไม่ใช่จุดนั้น จึงต้องนำประเด็นนี้ไปสู่ความเข้าใจของประชาชนให้มากที่สุด อีกส่วนหนึ่งคือคำวินิจฉัยของตุลาการที่ต้องนำเผยแพร่ให้มากขึ้น

นายองอาจ กล่าวว่า ขณะเดียวกันให้ผู้มีความรู้ในเนื้อหาคำวินิจฉัยมาให้ความเห็นเพิ่มเติม และต้องฟังด้วยเหตุผล ทำให้เข้าใจมากขึ้นว่าคำวินิจฉัยของศาลฯที่ไม่เอาผิดกับผู้ถูกร้อง เพราะการดำเนินการไม่เป็นไปตามขั้นตอนนั้นไม่สามารถเอาผิดผู้ถูกร้องได้ เราจึงต้องชี้ให้เห็นความชัดเจนในส่วนนี้ และต้องรอดูคำวินิจฉัยกลางที่จะออกมาว่ามีเนื้อหาสาระอะไรที่จะก่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น

ชทพ.ชี้ไม่ยุบปชป.สืบชะตารบ.

เวลา 13.30 น. ที่ทำการพรรคชาติไทยพัฒนา นายวัชระ กรรณิการ์ โฆษกพรรคชาติไทยพัฒนา แถลงว่า พรรคมองว่าเหตุการณ์ศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์กรณีเงิน 29 ล้านบาทและการผ่านความเห็นชอบแก้ไขรัฐ ธรรมนูญใน 2 ประเด็น ถือเป็น การสืบชะตาให้รัฐบาลไปเรียบร้อย จากนี้รัฐบาล น่าจะมีความมั่นคงและเสถียรภาพมากพอที่จะบริหารงานต่อไปอย่างราบรื่น ทั้งนี้ พรรคมองว่าคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญน่าจะเป็นที่ยุติของทุกเรื่อง และคำตัดสินยังจะสร้างบรรทัด ฐานใหม่ให้การเมือง สังคมไทย พรรคขอเรียกร้องให้เร่งเผยแพร่คำวินิจฉัยส่วนตน เพื่อให้ประชาชนเกิดความเข้าใจ

เวลา 10.00 น. กลุ่มคนเสื้อแดง จ.เชียงราย นำโดยนายบุญเลิศ บุญศรี ประธานกลุ่มต้นกล้าประชาธิปไตยเชียงราย ไปยื่นหนังสือต่อนายพงษ์พันธ์ ริ้วทองทวี กกต.เชียงราย ผ่านไปยังประธาน กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการ เมือง เพื่อสะท้อนความเห็นต่อคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ โดยทั้งหมดนัดกันแต่งดำและจุดเทียนชุมนุมกันอย่างสงบ เมื่อยื่นหนังสือแล้วจึงแยกย้ายกันกลับ

'ชวน'แจงยื่นให้ศาลวินิจฉัย

นายไชยวัฒน์ ไตรยสุนันท์ ทีมงานกฎหมายสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยความคืบหน้าการสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ กรณีการรับเงินบริจาค 258 ล้านบาท หลังจากนายชวนเรียก ประชุมทีมกฎหมายของพรรคเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.ว่า เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. เวลา 14.30 น. นายชวนมอบหมายให้ตนนำเอกสาร 2 แผ่นเดินทางไปยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ศาลพิจารณาข้อกฎหมายในคดี 258 ล้านบาท เกี่ยวกับอำนาจของนายทะเบียนพรรคการเมืองและอำนาจของกกต. ว่าปฏิบัติหน้าที่ถูกต้องหรือไม่ ทางออกอาจเป็นไปได้หลายทาง คือศาลรับพิจารณาคำ ร้องของพรรคแต่ยังไม่ตัดสิน โดยรอให้สืบพยาน จะตัดสินคราวเดียวหลังกระบวนการเสร็จสิ้น เหมือนกับคดี 29 ล้านบาทที่พรรคเคยยื่นหนังสือในลักษณะนี้ให้ศาลรัฐธรรมนูญเช่นกัน โดยศาลรับไว้ แต่ยังไม่ตัดสินจนกว่าจะสืบพยานเสร็จ หรือศาลอาจเห็นด้วยกับคำร้องของพรรค อาจพิจารณาตัดสินคดี โดยอาจยกคำร้องของอัยการสูงสุด(อสส.) หรืออาจนำสู่การจำหน่ายคดีก็ได้ ซึ่งถือเป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ

ด้านนายชวนเผยว่า การยื่นคำร้องของศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่การยื่นคำร้องให้ศาลจำหน่ายคดี แต่เป็นการให้ศาลวินิจฉัยในข้อกฎหมาย ทั้งนี้นายอภิสิทธิ์ในฐานะหัวหน้าพรรค กำชับเรื่องการให้สัมภาษณ์ของทีมกฎหมาย ว่าควรให้ผู้รู้เรื่องคดีเป็นผู้ให้สัมภาษณ์ เช่น ตน นายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษา นายบัณทิต ศิริพันธุ์ ทนายความ และนายไชยวัฒน์

พท.หนุนกกต.ยื่นคดี29ล.ใหม่

วันเดียวกัน นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงเสียงวิจารณ์คำวินิจฉัยยกฟ้องพรรคประชาธิปัตย์จากประเด็น เงินบริจาค 29 ล้านบาทว่า ขอเรียกร้องให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชี้แจงเหตุผลในคำวินิจฉัย ให้ชัดเจน ตามข่าวกลายเป็นว่าตุลาการ 4 เสียงมีเพียงเสียงเดียวที่เห็นว่าคำร้องของนายทะเบียนพรรคการเมืองเกินระยะเวลา แต่อีก 3 คนบอก ว่ายังไม่ครบกระบวนการ นายทะเบียนพรรคการเมืองยังไม่ได้ให้ความเห็น ดังนั้นกรณีคณะตุลาการอ่านคำวินิจฉัยและระบุว่าเสียงข้างมาก 4 ต่อ 2 จริงหรือไม่ หรือที่จริงแล้วเป็น 3 ต่อ 1 ต่อ 2 แล้วเหตุผลที่อ่านในการวินิจฉัย ถือเป็นคำวินิจฉัยกลางของศาล หรือจะต้องเขียนคำวินิจฉัยกลางออกมาอีกครั้ง นี่คือสิ่งที่สังคมสับสนอยู่ หลายครั้งแล้วที่มีคำวินิจฉัยแล้วต้องมีการอธิบายความจากสำนักเลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญ จนเกิดคำถามว่าตกลงคำวินิจฉัยของคณะตุลาการ หรือคำชี้แจงของเลขาธิการศาล อะไรเป็นคำวินิจฉัยของศาล ต้องยึดถืออะไรกันแน่ คำวินิจฉัยควรมีความชัดเจน ไม่ต้องมาตีความกันไปมาอีก

นายพีรพันธุ์กล่าวว่า คดี 29 ล้านบาทเมื่อกกต.เห็นว่าสามารถยื่นกลับเข้าไปใหม่ได้ ตนก็สนับสนุนว่าควรยื่นไปก่อน แล้วรอดูว่าศาลจะรับหรือไม่ อย่างไร พรรคประชาธิปัตย์จะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญจำหน่ายคำร้องยุบพรรคกรณี 258 ล้านบาทคงไม่มีผล อัยการสูงสุดและกกต.ยืนยันแล้วว่าไม่ได้เป็นทิศทางเดียวกันกับคดี 29 ล้านบาท กกต.และอัยการสูงสุดคงยื่นร้องคัดค้านหากพรรคประชาธิปัตย์ยื่นเข้าไป

แฉปชป.แปรญัตติลดส.ส.เขต

นายพีรพันธุ์กล่าวถึงที่ประชุมกรรมาธิการ ร่วมรัฐสภาเริ่มประชุมพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรม นูญว่า พรรคเพื่อไทยมีมติไม่เข้าร่วม เป็นเรื่อง ที่พรรคประชาธิปัตย์ พรรคร่วม และส.ว.จะพิจารณากัน ส.ส.พรรคเพื่อไทยหลายคนขอแปรญัตติและจะขอสงวนคำแปรไว้เพื่ออภิปรายในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญวาระ 2 เท่าที่ทราบข่าว ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์จะยื่นแปรญัตติในเรื่องจำนวนส.ส. โดยลดจำนวนส.ส.เขตไปอีกเป็น 350 เขต และส.ส.สัดส่วน 150 คน ให้เขตเลือกตั้งใหญ่ขึ้น แต่พรรคร่วมรัฐบาลจะยื่นแปรญัตติให้ส.ส.เขตเป็น 400 เขต และสัดส่วน 100 คน ให้เขตเลือกตั้งเล็กขึ้นเพื่อจะได้หาเสียงได้ง่ายกว่านี้ ดังนั้นเมื่อความต้องการของทั้ง 2 พรรคไม่ตรงกัน การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้จึงเป็นเพียงเกมของพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมเท่านั้น คาดว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นนี้จะไม่สำเร็จแน่นอน

ที่พรรคประชาธิปัตย์ น.พ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าพรรควิตกกังวลกรณีร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานส.ส. พรรคเพื่อไทย เสนอให้เปลี่ยนระบบศาลไทยจากศาลคู่เป็นศาลเดี่ยว หากทำตามข้อเสนอถือเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างครั้งใหญ่ และกระทบต่อสถาบันตุลาการ ซึ่งพรรคเห็นว่าเสนอ เพราะไม่ถูกใจคำวินิจฉัย เสนอเพื่อสนองตัณหาทางการเมืองตัวเอง โดยใช้ฝ่ายนิติบัญญัติแทรกแซง ซึ่งเป็นระบบคิดของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ดังนั้น อยากถามว่าหากคำวินิจฉัยเป็นอย่างอื่น พรรคเพื่อไทยจะเสนอเแบบนี้หรือไม่ ตนไม่อยากให้พรรคเพื่อไทยเคลื่อนไหวกดดันทำลายความน่าเชื่อถือตุลาการ และทราบว่ายังมีนักวิชาการที่ทำงานเป็นเครือข่ายร่วมกันกับกลุ่มคนเสื้อแดงต้องการดิสเครดิตศาลโดยเขียนบทความวิชาการ จึงอยากให้เสนอแนวทางที่สร้างสรรค์มากกว่าจ้องทำลาย

ศาลรธน.ไม่อนุมัติ2ตลก.ถอน

รายงานข่าวจากศาลรัฐธรรมนูญแจ้งว่า ในการประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องที่นายสุพจน์ ไข่มุกด์ และนายจรูญ อินทจาร ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้แจ้งเหตุขอถอนตัวจากการเป็นองค์คณะพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์จากข้อกล่าวหารับเงินบริจาค 258 ล้านบาทจากบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) โดยหลีกเลี่ยงการรายงานรับเงินบริจาคตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเอกฉันท์ไม่ให้นายสุพจน์และนายจรูญถอนตัวจากองค์คณะ โดยเห็นว่าการที่ตุลาการทั้งสองให้เหตุผลว่า ได้เคยฟ้องหมิ่นประมาทนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษก พรรคเพื่อไทย ที่ศาลอาญา ไม่เกี่ยวกับคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท โดยคดีเงินกองทุนฯ 29 ล้านบาท ที่คณะตุลาการเคยให้นายจรูญถอนตัวได้นั้น เนื่องจากเป็นการฟ้องระหว่างพิจารณาคดี 29 ล้านบาทอยู่ แต่คดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท ยังไม่เริ่มการพิจารณา จึงไม่เป็นเหตุให้ 2 ตุลาการต้องถอนตัวได้ ทำให้ขณะนี้องค์คณะจึงยังมีอยู่ 7 คน โดยนายเฉลิมพล เอกอุรุ และนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้ถอนตัวออกก่อนหน้านี้

เผยคดี258ล.ไม่ซ้ำคดี29ล้าน

รายงานข่าวแจ้งว่า การนัดพร้อมคู่กรณีในวันที่ 9 ธ.ค.นี้ เพื่อพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ จากข้อกล่าวหาเงินบริจาค 258 ล้านบาทนั้น เป็นการนัดเพื่อพิจารณากำหนดประเด็นการไต่สวนของคดี ซึ่งวันดังกล่าวคณะตุลาการจะประชุมกำหนดแนวทางการพิจารณาอีกครั้ง กรณี คดีเงินบริจาค 258 ล้านบาทนั้น เป็นการยื่นคำร้องคนละมาตรากับคดี 29 ล้านบาท ดังนั้นเรื่องปัญหาในการยื่นคำร้องของอัยการสูงสุด(อสส.)จึงไม่น่ามีปัญหาเหมือนคดี 29 ล้านบาท เพราะอสส.ได้ส่งคำร้องดังกล่าวภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด

ผู้สื่อข่าวรายงานจากสำนักงานศาลรัฐธรรม นูญว่า นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ นำคณะตุลาการและข้าราชการจัดพิธีถวายพระพรเนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อเสร็จพิธี ผู้สื่อข่าวพยายามขอสัมภาษณ์นายชัช ถึงศาลรัฐธรรมนูญจะทำงานสนองพระราชดำรัสได้อย่างไร แต่นายชัชกลับตอบว่า "ผู้สื่อข่าว ใช่ไหมไม่เอา" พร้อมเดินกลับขึ้นห้องทำงานทันที

โพลเผยอยากให้ศาลรธน.ชี้แจง

วันเดียวกัน นิด้าโพลได้เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อคำวินิจฉัยของศาล รัฐธรรมนูญ ในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ กรณีใช้เงินกองทุนเพื่อพัฒนาพรรคการเมืองผิดวัตถุประสงค์ พบว่ามีประชาชน 27% เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เพราะ เป็นที่สิ้นสุดแล้ว แต่ประชาชนอีก 18% ไม่เห็นด้วย ระบุเป็นการพิจารณาแบบสองมาตรฐาน ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่กว่าครึ่งมีความเบื่อหน่ายปัญหาการเมือง จึงไม่ค่อยให้ความสนใจเรื่องนี้มากนัก แต่ประชาชนส่วนใหญ่ 61.8% อยากให้ศาลรัฐธรรมนูญเผยแพร่และชี้แจงรายละเอียดคำวินิจฉัยให้ประชาชนรับทราบ

ส่วนความคิดเห็นของประชาชนต่อสถานการณ์ทางการเมือง ส่วนใหญ่ 36.2% คิดว่าจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยนักการเมืองก็ยังทะเลาะกัน ปัญหาความขัดแย้งก็ยังมีอยู่ ทุกอย่างเป็นเกมการเมือง, 23.1% คิดว่าสถานการณ์ บ้านเมืองยังไม่แน่นอน ไม่สามารถคาดการณ์ได้, 21.0% คิดว่าสถานการณ์การเมืองจะเลวร้ายลงกว่าเดิม กลุ่มที่ไม่เห็นด้วยในเรื่องต่างๆ จะออกมาชุมนุม ประท้วง เกิดความขัดแย้ง และอีก 19.7% คิดว่าสถานการณ์การเมืองจะดีขึ้น เพราะ พรรคประชาธิปัตย์ไม่ถูกยุบ รัฐบาลก็จะได้บริหาร ประเทศชาติอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ศูนย์สำรวจความคิดเห็นของประชาชน "นิด้าโพล" สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนจากทั่วทุกภูมิภาคจำนวน 1,119 คน เรื่อง "ควันหลงของคดียุบพรรคต่อสถานการณ์บ้านเมือง" ระหว่างวันที่ 1-2 ธ.ค.

ปชป.ขวางแปรญัตติสส.เขต400

ที่รัฐสภา นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส. กทม. พรรคประชาธิปัตย์ เลขานุการคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่...) พ.ศ. ... กล่าวถึงพรรคร่วมรัฐบาลเตรียมแปรญัตติปรับระบบเลือกตั้งส.ส.จากเขตเดียวเบอร์เดียว 375 คน รวมกับบัญชีรายชื่อ 125 คน เป็นเขตเดียวเบอร์เดียว 400 คน กับบัญชีรายชื่อ 100 คน ว่าพรรคยืนยันจำนวนส.ส.ตามร่างที่รัฐสภารับหลักการ จะผลักดันให้ผ่านในวาระที่ 3 กรณี พรรคร่วมรัฐบาลต้องการปรับเปลี่ยนตัวเลขโดยเฉพาะส.ส.เขตนั้น ยังไม่ได้คุยกัน แต่ถ้าจะปรับเปลี่ยนจริง ต้องนำมาคุยกันในแต่ละพรรคอีกครั้งหนึ่ง แต่คงเหนื่อยหน่อย ก่อนหน้านี้พรรคประชาธิปัตย์คุยกันนานกว่าจะได้ข้อยุติ ต้องรอดูการถกเถียงกันในชั้นกรรมาธิการว่าจะปรับเปลี่ยนอย่างไรบ้าง แต่เมื่อพรรคร่วมโหวตสนับ สนุนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านวาระแรกมาแล้ว ไม่น่าจะมีการแปรญัตติในชั้นกรรมาธิการอีก การปรับเปลี่ยนจำนวนส.ส.จะทำให้เกิดปัญหามาก กว่าจะได้ตัวเลขตามร่าง คุยกันหลายรอบกว่าจะตกผลึกได้ตัวเลขดังกล่าวมา

เมื่อถามว่าพรรคร่วมรัฐบาลยืนยันว่าควรปรับส.ส.เขตเดียวเบอร์เดียวเพิ่มเป็น 400 คน ส่วนส.ว.บางกลุ่มต้องการตัวเลขตามร่าง จะทำให้มีปัญหาในวาระ 3 หรือไม่ นายอรรถวิชช์กล่าวว่า ถ้าพรรคร่วมเอาตามที่ได้โหวตรับหลักการไว้ ในวาระ 3 น่าจะผ่านไปได้ แต่ถ้าไม่เอาจะมีปัญหาเกิดแรงกระเพื่อมในแต่ละพรรคแน่นอน พรรคร่วมคงสนับสนุนตามร่างเดิมที่เสนอเข้ามา

ยื่นตีความบันทึกผลประชุมจีบีซี

เวลา 10.40 น. ที่รัฐสภา นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย น.พ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ ส.ส.สัดส่วน น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก และนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กทม. นำรายชื่อ 79 ส.ส. ยื่นต่อ ประธานรัฐสภา ผ่านนายพิทูร พุ่มหิรัญ เลขาธิ การสภาผู้แทนราษฎร ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่าบันทึกผลการประชุมร่วมคณะกรรมา ธิการไทย-กัมพูชา(เจบีซี)เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 หรือไม่

นายศิริโชคกล่าวว่า การประชุมของกรรมาธิ การร่วมเพื่อพิจารณาบันทึกผลเจบีซีมีหลายนัด แต่มีความเห็นแตกต่างกันอยู่ จึงสมควรยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้เป็นบรรทัดฐานและเกิดความชัดเจน ให้ข้าราชการทำงานได้สะดวก ระหว่างนี้กรรมาธิการจะเดินหน้าประชุมต่อหรือ ไม่ ต้องนัดหารือกับประธานกรรมาธิการก่อน อาจประชุมภายในก็ได้ ทั้งนี้ไม่เกี่ยวกับการนัดชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร พวกตนทำตามหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ

เมื่อถามว่าเหตุใดจึงหยิบเรื่องดังกล่าวมาพิจารณาในช่วงที่กรรมาธิการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฯเพิ่มเติม จะพิจารณามาตรา 190 ด้วย นายศิริโชคกล่าวว่าคนละประเด็นกัน เรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายกฯได้แปรญัตติมาตรา 190 เข้ามาแล้ว ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องนี้มาโดยตลอด ต้องรอดูท่าทีของพันธมิตรก่อนว่าจะออกมาเช่นไร

เลขาฯพท.มั่นใจพรรคเดินหน้าได้

วันเดียวกัน นายสุพล ฟองงาม ส.ส.อุบลราช ธานี เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่มีรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ทยอยยื่นใบลาออกจากตำแหน่งว่า เป็นเรื่องที่ห้ามไม่ได้ แต่ที่จริงควรคิดก่อนเข้ามารับตำแหน่ง เพราะทั้งหมดผ่านกระบวนการคัดเลือก ไม่มีใครบังคับ ซึ่งทุกครั้งที่มีการประชุมกรรมการบริหารพรรคได้ย้ำให้กรรมการบริหารพรรคระมัดระวัง อย่าไปทำผิดข้อกฎหมาย จนเปิดช่องให้ถูกยุบพรรคได้ ซึ่งทุกคนเข้าใจและขณะนี้ยังไม่พบความผิดใดๆ แต่มีบางส่วนที่เกิดความไม่สบายใจ หวั่นเกรงถูก กลั่นแกล้งยุบพรรคและขอลาออกจากตำแหน่งกรรมการบริหารซึ่งเป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่พรรคยังบริหารต่อไปได้ ไม่จำเป็นต้องตั้งรองหัวหน้าพรรคเข้ามาแทนคนที่ลาออกในช่วงนี้ แต่ ในอนาคตช่วงใกล้เลือกตั้งอาจปรับโครงสร้าง บริหารพรรคอีกครั้ง

เลขาธิการพรรคเพื่อไทยกล่าวถึงการเลือกตั้งซ่อมส.ส.ใน 5 เขตว่า พรรคมั่นใจในกระแสความนิยมของพรรค เท่าที่ลงพื้นที่ประชาชนให้การตอบรับเป็นอย่างดีทั้ง 4 เขตคือ จ.ขอน แก่น สุรินทร์ นครราชสีมา รวมถึง จ.พระนครศรี อยุธยา ที่มีคะแนนสูสีพรรคคู่แข่ง ส่วนพื้นที่กรุงเทพฯ ตนตอบไม่ได้ เพราะไม่ได้รับผิดชอบโดยตรง

พล.ท.มะ โพธิ์งาม ส.ส.กาญจนบุรี รองหัว หน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีเดียวกันว่ามีบางส่วนที่กลัวการยุบพรรคและตัดสิทธิ์ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่ามีคนจ้องยุบพรรคเพื่อไทย แต่ตนไม่ลาออกแน่นอน การลาออกของรองหัวหน้าพรรค 4 คนไม่กระทบต่อการบริหารงาน ในพรรค ยังเหลือกรรมการบริหารถึง 10 คนที่ ยังทำงานได้

ที่จ.ยโสธร พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ว่า เชื่อมั่นว่าในการเลือกตั้งใหญ่ในปีหน้าประชาชนจะเทคะแนนไว้วางใจให้พรรคเพื่อไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ส่วนคดียุบพรรคประชาธิปัตย์กรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาทนั้น คณะกรรมการบริหารพรรคจะประชุมเพื่อเดินเกมในหมากต่อไป เพราะการตัดสินยกคำร้องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ยังเป็นที่คลางแคลงใจของประชาชน

อภิชายื่นร้องบุญจงจัดเลี้ยง

เวลา 09.30 น. ที่สำนักงานกกต.จังหวัดนคร ราชสีมา นายอภิชา เลิศพชรกมล ผู้สมัครส.ส. เขต 6 นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย ได้เดินทางมาร้องเรียนกล่าวหานายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ อดีตรมช.มหาดไทย ผู้สมัครจากพรรคภูมิใจไทย กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง โดยมอบหลักฐานเป็นแผ่นซีดีและเอกสารจำนวนหนึ่งให้กับพ.อ.สันธิรัตน์ มหัทธนชาติ ผอ.กต.จว.นครราชสีมา

นายอภิชาเปิดเผยว่า ตนมั่นใจพยานหลักฐาน ที่เป็นการแอบภาพถ่ายเคลื่อนไหว กิจกรรมการจัดเลี้ยงสัมมนาที่อ.แกลง ระยอง โดยนำกลุ่มข้าราชการและชาวบ้าน โดยอ้างเป็นการพัฒนาศักยภาพผู้นำ ซึ่งมีนายบุญจงร่วมคณะไปด้วย ซึ่งไม่ได้ไปเที่ยวอย่างเดียว แต่ยังมีเงินใส่ซองด้วย ถือเป็นการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง มาตรา 53 (4) ห้ามมิให

เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์ข่าวสด


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์