“สุเทพ” รับมีหญิงไทยร่วมแก็งปลอมพาสปอร์ต ชี้ชัดเชื่อมโยงก่อการร้ายข้ามชาติ เตรียมขยายผลสอบสวนต่อ
วันนี้ (3 ธ.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ถึง กรณีที่มีการจับกุมแก๊งขาวชาวปากีสถาน ที่ปลอมหนังสือเดินทาง และมีรายงานข่าวว่าเป็นกลุ่มก่อการร้าย ว่า ตนได้รับรายงานจากหน่วยงานข่าวว่าเป็นการร่วมมือกับหลายประเทศ เพื่อสืบสวนสอบสวนแก๊งปลอมหนังสือเดินทางที่ทำเป็นกระบวนการ และมีผู้กระทำผิดอยู่ในหลายประเทศ ได้ร่วมกันขโมยหนังสือเดินทางของนักท่องเที่ยวในประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะประเทศแถบยุโรป และนำมาปลอมเป็นหนังสือเดินทางฉบับใหม่ ให้กับคนที่ต้องเดินทางไปประเทศที่ 3 และบางกรณีหนังสือเดินทางปลอมเหล่านี้ ถูกนำไปใช้ในการประกอบอาชญากรรมในประเทศต่าง ๆ จึงเป็นที่มาของความร่วมมือกันของประเทศต่าง ๆ และนำมาซึ่งการจับกุมผู้ทำผิด ที่มีทั้งคนไทย และชาวต่างชาติ โดยมีผู้หญิงไทยเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แต่ตนไม่ขอพูดถึงรายละเอียดว่าเป็นอย่างไร ซึ่งแต่ละประเทศก็จะขยายผลกันต่อไป
เมื่อถามว่า มีรายงานข่าวด้วยว่า ชาวปากีสถานที่จับกุมได้ เป็นแกนนำขบวนการก่อการร้ายรายใหญ่ ที่ก่อเหตุในประเทศสเปน นายสุเทพ กล่าวว่า ฝ่ายข่าวของเราไม่ได้ระบุว่า ใครเป็นหัวหน้า ใครเป็นลูกน้อง แต่มีคนไทยร่วมอยู่ในขบวนการนี้ด้วย เมื่อตรวจค้นก็ได้พยานหลักฐานที่ต้องดำเนินคดีกันต่อไป อย่างไรก็ตาม ไทยกับสเปนได้ร่วมมือกันแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน และนำไปขยายผลสืบสวนสอบสวนต่อไป ถือว่าเป็นการทำงานร่วมกัน
เมื่อถามว่า มีรายงานข่าวด้วยว่าแก๊งนี้ เกี่ยวโยงกับการก่อเหตุในประเทศสเปน ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร นายสุเทพ กล่าวว่า ตนได้รับรายงานว่า หนังสือเดินทางปลอมเหล่านี้ จะนำไปใช้ในการก่อการร้ายในบางประเทศ แต่ยังไม่มีรายละเอียดว่านำไปใช้อย่างไร กับประเทศไหน แต่ละประเทศจะต้องร่วมกันทำงานต่อไป
เมื่อถามว่า ประเทศไทยจะถูกมองว่าเป็นแหล่งผลิตหนังสือเดินทางปลอมหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ขณะนี้ เรามีหลักฐานจากการเข้าไปตรวจค้นบุคคลต้องสงสัยในประเทศไทย และพบความเชื่อมโยงว่า มีการขโมยหนังสือเดินทางจากประเทศต่าง ๆ ส่งเข้ามาในประเทศไทย โดยวิธีทางไปรษณีย์บ้าง และคนถือเข้ามาบ้าง และทำให้น่าเชื่อว่ากรณีอย่างนี้ น่าจะมีฐานปฏิบัติการในประเทศอื่นด้วย ซึ่งต้องขยายผลต่อไป และขณะนี้ ทุกประเทศที่เกี่ยวข้อได้ให้ความสนใจ และร่วมมือกัน หวังสืบสวนสอบสวนกันอย่างใกล้ชิด และทุกประเทศก็วิตกกังวลเรื่องอาชญากรรมข้ามชาติ จึงร่วมมือกันดี.