“บัญญัติ”ปัดข่าวเปลี่ยนแทน“ชวน”

“บัญญัติ” แย้มดีเอสไอสั่งไม่ฟ้องคดีทีพีไอไซฟ่อนเงิน มีน้ำหนักพอใช้สู้คดี 258 ล้าน ปัดนั่งแทน “ชวน” ซัด กกต.ต้องรู้จักจบ ชี้ “สดศรี” ฟ้องซ้ำไม่ได้

วันนี้ (2 ธ.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรค ในฐานะทีมกฎหมาย เพื่อต่อสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้สัมภาษณ์ปฏิเสธข่าวการเปลี่ยนให้นายบัญญัติ เป็นหัวหน้าทีมกฎหมาย เพื่อต่อสู้คดียุบพรรค ดูแลคดีการรับเงินบริจาคจาก บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด จำนวน 258 ล้านบาท แทน นายชวน หลีกภัย ว่า ไม่มีเหตุให้ต้องเปลี่ยนตัวแต่อย่างใด เห็นข่าวแล้วยังตกใจ เพราะส่วนตัวคิดว่านายชวน เหมาะเป็นหัวหน้าทีมมากกว่าใคร เพราะเป็นผู้อาวุโส รอบรู้ในเรื่องนี้ เป็นอย่างดี สังเกตได้จากการทำคดี 29 ล้านบาท ก็สามารถผ่านพ้นมาได้ด้วยดี อีกทั้ง 2 คดีนี้ มีความเกี่ยวพันกัน

ส่วนแนวทางการต่อสู้คดี 258 ล้านบาทนั้น ต้องรอฟังศาล ที่จะนัดพร้อมคู่ความในวันที่ 9 ธ.ค.นี้ก่อน

ซึ่งจะมีการกำหนดประเด็นของคดี รวมถึงจะมีการพูดถึงพยานหลักฐานว่าใครจะสืบประเด็นใดบ้าง ซึ่งเข้าใจว่าในส่วนของคดี 258 ล้านบาท พยานหลักฐานมีส่วนเกี่ยวพันกับคดี 29 ล้านบาทอยู่แล้ว ดังนั้น พยานที่จะสืบคงมีไม่มากนัก เวลาของคดีคงสั้นลง เพราะหลายเรื่องมีการนำสืบพยานบางส่วนไปแล้ว แต่ก็คงไม่ได้ช่วยให้การทำคดีง่าย เราหนักใจในการทำคดีทุกคดี แต่ก็จะทำให้ดีที่สุด ตรงไปตรงมา นำความจริงไปเสนอศาล

“ผมอยากเรียกร้องให้เคารพกระบวนการยุติธรรม หรือศาล เป็นที่เข้าใจกันดีว่าคนจำนวนหนึ่งคงมีการตั้งเป้าไว้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะออกหัวออกก้อยก็รับไม่ได้ทั้งนั้น ก็สุดแท้จะว่ากันไป แต่สำหรับประชาชนทั่วไป ผมคิดว่าฟังศาลดีกว่า เมื่อคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการออกมา เราก็จะเห็นได้ชัดว่า แต่ละท่านมีเหตุผลอย่างไร และที่มีการพูดว่าทำไมศาลถึงรีบรวบรัดตัดความวินิจฉัยประเด็นปัญหาเรื่องข้อกฎหมายเสียก่อน อยากทำความเข้าใจว่า ศาลจะวินิจฉัยข้อกฎหมายก่อน เพราะจะช่วยร่นระยะเวลา ส่วนที่บางคนสงสัยว่าในเมื่อข้อกฎหมายมีอยู่แล้ว ทำไมไม่เร่งวินิจฉัยตั้งแต่ต้น เรื่องนี้ศาลจำเป็นที่จะต้องเปิดโอกาสให้การชี้แจงข้อเท็จจริงก่อน ก็จะไม่ทราบว่ามีความเกี่ยวข้องกับอายุความอย่างไร ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่าประเด็นเรื่องข้อเท็จจริงที่มีการนำสืบกัน นายทะเบียนพรรคการเมืองให้ความเห็นแล้วหรือยัง แล้วเห็นว่ามีความผิดตั้งแต่เมื่อใด กรณีเช่นนี้ ถ้าไม่สืบข้อเท็จจริงก่อน ศาลก็ไม่มีทางทราบ ดังนั้น จึงไม่อยากให้ไปตำหนิศาล เพราะถ้าไปทำให้ประชาชนไม่เข้าใจ ก็จะเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ทางการเมือง” นายบัญญัติ กล่าว

นายบัญญัติ กล่าวต่อว่า ตนได้อ่านบทความของเปลวสีเงิน ซึ่งมีเนื้อหามีการยกตัวอย่างว่า ทำไม กกต.ไม่มีความรู้สึกว่า ตัวเองก็กำลังทำหน้าที่คล้ายกับพนักงานอัยการ

คือ คนที่มีหน้าที่ฟ้องคดีอาญาต่อศาล ซึ่งแน่นอนว่าทุกคดีที่ฟ้อง ไม่ได้ชนะทุกคดี คือ ถ้าคิดว่าตัวเองทำดีแล้ว เมื่อศาลไม่เห็นด้วย ก็ต้องจบกัน ซึ่งดีกว่าการมานั่งตีโพยตีพาย เพราะนอกเหนือจะมีปัญหากันเองแล้ว ยังทำให้คนสับสนมากขึ้น และดีไม่ดีอาจกระทบไปถึงสถานะของ กกต. ในฐานะที่เป็นองค์กรอิสระเองด้วย

เมื่อถามว่า มีกระแสข่าวกดดันตุลาการที่ตัดสินคดี 29 ล้านบาท ถอนตัวออกจากคดี 258 ล้านบาท นายบัญญัติ กล่าวว่า ตราบใดที่คดียังไม่จบ การเรียกร้องให้ตุลาการถอนตัว ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่า เป็นแผนการทางการเมืองของคนบางกลุ่ม ซึ่งมีความพยายามที่จะให้ตุลาการถอนตัวตั้งแต่ต้น ตนอยากให้ระมัดระวัง

เมื่อถามว่า ที่ผ่านมาดีเอสไอเคยสั่งไม่ฟ้องคดีบริษัท ทีพีไอ ไซฟ่อนเงิน จะเป็นโอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์ชนะคดีได้หรือไม่

นายบัญญัติ กล่าวว่า จะบอกว่าชนะเสียทีเดียวคพูดไม่ได้ จนกว่าศาลจะวินิจฉัย แต่ในทางคดีถือว่ามีน้ำหนักเหมือนกัน ส่วนพรรคจะใช้ประเด็นไหนไปสู้ ตนขอให้คณะผู้ว่าคดีได้คุยกันเสียก่อน ที่สำคัญต้องรอศาลวันที่ 9 ธ.ค.นี้ เมื่อถามว่า มีความพยายามของ นางสดศรี สัตยธรรม กกต. จะฟื้นคดี 29 ล้านบาท ขึ้นมาฟ้องใหม่ นายบัญญัติ กล่าวว่า ไม่ทราบขอรอฟังเหตุผลของนางสดศรี ก่อน แต่ในการดำเนินการก็มีหลักอยู่เหมือนกัน คือ การกระทำความผิดครั้งหนึ่ง ควรจะมีสิทธิ์ถูกฟ้องศาลครั้งเดียวเท่านั้น ไม่เช่นนั้นจะไม่จบไม่สิ้น ภาษาคดี คือ การฟ้องซ้ำ แต่กรณีของนางสดศรี จะเข้าข่ายฟ้องซ้ำหรือไม่ ก็คงต้องรอฟังต่อไป.


เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์