เมื่อวันที่ 21 พ.ย. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ"เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์"ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ว่า
"ได้เดินทางไปที่กรุงพนมเปญ มีการประชุมร่วมกันของกลุ่มประเทศในลุ่มน้ำอิรวดี เจ้าพระยา เป็นการประชุมเพื่อให้ความสำคัญเป็นพิเศษเพื่อให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล สนับสนุนให้ความสำคัญเรื่องเศรษฐกิจพิเศษการค้าชายแดน ขณะนี้มีการดึงภาคเอกชนเข้ามาในกรอบความร่วมมืออย่างชัดเจนขึ้น ไม่ว่าภาครัฐจะตกลงอย่างไรแต่การค้าการขายต้องเป็นการตัดสินใจของเอกชน
นายกฯยังกล่าวถึงการเยือนกัมพูชาครั้งนี้ว่า ได้มีการหารือกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา สมเด็จฯฮุน เซน เป็นการพบปะกันครั้งที่ 4 ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศดีขึ้นมาก
เราจะเน้นย้ำใยการส่งเสริมวัฒนธรรมและสังคม จะมีการจัดคอนเสิร์ตร่วมกัน มีกฐินพระราชทาน งานแสดงสินค้าในกลางปีหน้า ทั้งสองประเทศเราเห็นตรงกันว่าต้องช่วยกันสร้างความสัมพันธ์เพื่อพัฒนาไปด้านอื่นๆ นอกจากนี้ยังได้คุยเรื่องเขาพระวิหารแม้ว่าจะเห็นไม่ตรงกัน รัฐบาลกัมพูชาจะยึดของเขา ส่วนรัฐบาลเราก็ยึดตามแนวทางของเรา ยังมีความเห็นที่แตกต่างกัน แต่ที่ได้มีการพูดคุยกันเป็นครั้งแรกเรื่องกรณีพื้นที่พิพาทเขาพระวิหาร หากกัมพูชาเดินหน้าแผนขึ้นปราสาทพระวิหารกระทบกระเทือนพื้นที่ซึ่งเป็นเขตแดนกับไทย จึงได้ขอให้นายกฯกัมพูชามาเจรจากับไทยเรื่องที่จะเสนอเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก เพราะที่ผ่านมากัมพูชายังเสนอแผนบริหารจัดการพื้นที่ไม่ได้เพราะยังมีข้อตกลงปี 2543 และเจบีซี หากกัมพูชาสามารถเสนอแผนบริหารจัดการได้แล้วจะเป็นเงื่อนไขของความตึงเครียดและความขัดแย้ง ซึ่งทางฝ่ายกัมพูชาพยายามบอกว่าหากสามารถกลับคืนสู่สภาพก่อนปี 2551 ก็ไม่มีปัญหาแต่นั่นก็เป็นเพราะทางฝ่ายกัมพูชาต้องการนำเขาพระวิหารไปขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
"ผมยืนยันว่าข้อตกลงปี 2543 ทั้งสองฝ่ายจะไม่เข้าไปทำอะไรในพื้นที่ชุมชน วัด การปรับพื้นที่เป็นการละเมิดข้อตกลง ซึ่งเรื่องนี้นายกฯกัมพูชาได้ทราบเรื่องการเจรจากรอบเจบีซีซึ่งนายกฯกัมพูชาก็ยอมรับในการเจรจาของสภาไทย การพบปะทั้ง 4 ครั้งผมได้ทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยอย่างเต็มที่และจะดำเนินการแก้ไขปัญหาต่อไป ไม่เสียสิทธิของเราและหลีกเลี่ยงนำไปสู่การปะทะ และเหตุผลที่มีเอ็มโอยูและเจบีซีเพื่อประโยชน์ของประเทศ การรักษาไม่ให้มีแผนบริหารจัดการเป็นหน้าที่ของเรา" นายกฯกล่าว