แม้วทำปากกล้ารับดีเบทแต่ลงท้ายขาสั่นหลบสนธิโบ้ยชี้ขาด 2 เมษา
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 11 มีนาคม 2549 07:58 น.
ทักษิณ ออกถึงลูกถึงคนทำปากกล้ารับขึ้นเวทีดีเบทสนธิ แต่ลงท้ายขาสั่นกลืนน้ำลายหน้าตาเฉยบอกถ้ามีปัญหาส่วนตัวให้มาเคลียร์กันก่อน พูดแผ่นเสียงตกร่องอ้างกฎเกณฑ์สารพัดจนเวียนหัวสรุปขายหุ้นชินฯ 73,300 ล้านบาทไม่ต้องเสียภาษีสักบาท ด่ากราดม็อบไล่ไม่เคารพกติกามีวาระซ่อนเร้น เย้ยนักวิชาการ-องค์กรพันธมิตรฯรวมหัวไล่แค่พวกตั้งชื่อให้โก้หรู ยืนกรานไม่ผิด-ไม่ออก
พวกไล่นายกฯ มีวาระซ่อนเร้น
"แต่ละฝ่ายก็มีจุดของตัวเองซึ่งบางครั้งก็ต้องคิดว่าถ้าพูดกันตรงไปตรงมาโดยไม่มีวาระซ่อนเร้นก็คงพูดกันได้ แต่ถ้าทุกคนยังมีวาระซ่อนเร้นก็คงคุยกันไม่ได้ จากโลภมาโกรธ จากโกรธมาหลง" (สรยุทธ: วันนี้ก็ยังเชื่อว่าคนมาไล่มีวาระซ่อนเร้น?) "เดิมทีเดียวมีวาระซ่อนเร้นหมด แต่ตอนหลัง แน่นอนว่าการพูดข้างเดียวและการที่สื่อบางฉบับบิดเบือนมาก คนก็หลงเชื่อ แต่บางคนที่ไม่ชอบผมอยู่มันก็มีอยู่บ้าง การเป็นนายกมา 5 ปี ต้องมีทั้งคนรักและคนเกลียดหรือคนกลางๆ มีสามกลุ่ม ทีนี้คนที่ไม่ชอบพูดยังไงเขาก็ไม่ชอบ อย่างคนกลางๆ คือคนที่เราเสียดาย เพราะเราอยากอธิบายให้เข้าใจ"
ไม่เคยคุมสื่อ ได้เป็นข่าวเยอะเพราะทำงานเยอะ
"ไม่จริงหรอก สื่อเมืองไทยใครใช้ข้างเดียวได้ มันก็ใช้ทั้งนั้น ไม่หรอก รัฐมีกิจกรรมเยอะ 5 ปีที่แล้วถ้าไม่ทำงานมากขนาดนี้ ประเทศจะพลิกมาได้ขนาดนี้เหรอ จากวันนั้นแย่มาก คนตกงานเต็มไปหมด กว่าจะพลิกมา รัฐต้องทำงานหนัก และการทำงานหนักเป็นสีสัน เป็นเรื่องใหม่ๆ หมด ในการทำงานต่างๆ มันชวนติดตาม ช่วงนั้นสื่อก็ติดตาม เพราะกิจกรรมอื่นๆ ไม่ค่อยมี"
(สรยุทธ: ไม่ได้ปิดกั้นฝ่ายอื่นๆ ที่วิพากษ์วิจารณ์?) "จุดอ่อนของรัฐบาลชุดนี้คือไม่ค่อยพูดเวลาถูกกล่าวหา ทำให้คนไปเชื่อในสิ่งที่ถูกกล่าวหา ทั้งๆ ที่เรื่องจริงไม่ใช่ มันเจออย่างนี้หลายรายการ พอความเชื่อมันไปแล้ว พออธิบายเรื่องจริงก็ไม่ฟัง ... บางครั้งผมเป็นนายกฯ พรรคพวกก็ห้ามผมพูด พอคนอื่นพูดประชาชนไม่ฟัง กว่าผมจะมาพูดก็ช้ำเรียบร้อยแล้ว"
พีเน็ตให้เจรจาถ่ายทอดสดเอาไหม?
"ผมก็ไม่รู้ว่าตกลงเราจะไปพูดในฐานะอะไร จะมาเจรจา ความจริงมีการเลือกตั้งวันที่ 2 คนที่ไม่เห็นด้วยกับผมก็ไปฟ้องประชาชน ไปตามเมืองต่างๆ ว่าผมไม่ดียังไง เพราะผมบอกเลยว่า ถ้าคนไปใช้สิทธิแล้วกาไม่ลงคะแนนบวกกับกาพรรคอื่นรวมแล้วชนะไทยรักไทย ผมไม่เป็นนายกแน่นอน ซึ่งปกติแล้วผมไม่ต้องประกาศ เพราะไทยรักไทยมาที่หนึ่ง ผมเป็นนายกได้อยู่แล้ว แต่ผมไม่เป็น เพราะผมเป็นคนขอพระราชทานยุบสภา ผมต้องมั่นใจว่า คนให้สิทธิผมเกินครึ่งหนึ่ง อันนี้เป็นมารยาท ถ้าคนศรัทธาผมไม่พอ ผมก็ไม่ควรเป็น อันนี้ประกาศไปแล้ว"
(สรยุทธ: ตกลงไปไม่ไปพูดพร้อมกัน?) "ไม่เห็นจำเป็นจะต้องพูดพร้อมกัน ในเมื่อเขาไม่ลงเลือกตั้ง จะมานั่งพูดเรื่องอะไร (สรยุทธ: เขาว่าคุณทักษิณไม่กล้า) "ทำไมผมไม่กล้า คุณสรยุทธถามผมเลย ทุกเรื่องผมตอบได้หมด" (สรยุทธ: ไม่คุยกับคุณจำลอง คุณสนธิ?) แล้วเขากี่คน ผมคนเดียว (สรยุทธ: งั้นมาคนเดียวเอาไหม) "เอา! ใครก็ได้คนนึง"
"แค่คนรู้จัก" ไม่เคยแทรกแซงองค์กรอิสระ
"ไม่เกี่ยว องค์กรอิสระก็มี ทำไมป.ป.ช.ล้มแล้วล้มอีก ถ้าไม่มีวาระซ่อนเร้น พวกที่รอขาดอายุความ เวลานี้องค์กรอิสระถ้ามีครบก็ตรวจสอบกันได้ ผมเองก็ถูกตรวจสอบแล้ว ยังไม่ทันเลือกตั้งผมโดนแล้ว เรื่องราวก่อนรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ก่อนกฏหมายป.ป.ช. ซึ่งจริงๆ ไม่มีย้อนหลัง แต่ย้อนหลังมาผมก็ไม่ว่าไร ... ประเทศนี้แคบจะตาย คนไทยรูจักกันทั้งนั้น รู้จักกันไม่จำเป็นต้องเป็นพวกกัน เขาจะทำอะไรเขาต้องคิดว่ามันถูกหลักถูกเกณฑ์ ไม่งั้นเขาก็เสียคน"
"ผมเสียเพื่อนเสียญาติเยอะ เพราะเขาคิดว่าผมมีอำนาจเยอะทำอะไรก็ได้ สมัยนี้เป็นระบอบประชาธิปไตย มันโปร่งใส ตรวจสอบโดยสื่อโดยอะไรสารพัดอย่าง มันไม่ได้อยู่ในที่มืดเหมือนก่อน ใครจะกล้าทำอะไรทุเรศๆ ชีวิตมาถึงขนาดนี้ทำทำไม ... ผมไม่ใช่ซูเปอร์แมนนะ คนเดียวทำได้ทุกเรื่อง เดี๋ยวไปโน่นไปนี่ ทำงานให้ชาวบ้านให้ประชาชน ผมไปต่างประเทศ เป็นนายกที่ไปต่างประเทศมากที่สุด และมีคนเดินทางมาเยือนมากที่สุด ผมไม่ใช่ซูเปอร์แมนที่จะทำทุกเรื่อง
เอาแค่หลักคิดง่ายๆ ว่าผมจะมีความสามารถถึงขนาดมีเวลาทำขนาดนั้นเลยเหรอ ได้นอนได้อยู่กับครอบครัวก็ดีใจตายแล้ว"
วางมือธุรกิจนานแล้ว ไม่รู้ไม่เห็นขายหุ้นเทมาเส็ก
"บริษัท (ชินคอร์ป) ถูกบริหารโดยมืออาชีพมานานแล้ว ตั้งแต่ผมออกไปเป็นรมว.ต่างประเทศ ตั้งแต่ปี 37 ทุกอย่างเป็นระบบแล้ว เวลานี้สมมุติไม่ได้ขาย ให้ผมออกจากนายกฯ ไปบริหารบริษัทก็เจ๊ง เพราะตามไม่ทันแล้ว เทคโนโลยีไม่รู้เรื่องแล้ว ... ดีลอย่างนี้ เขาต้องจ้างมืออาชีพเป็นคนทำเท่านั้นแหละ มันเป็นเรื่องทันผู้ทันคน ใครจะไปทำกันเองได้ มันต้องใช้มืออาชีพ"
(สรยุทธ: ที่เขาว่าไปอินเดียเพื่อธุรกิจส่วนตัว?) ที่ผมไปครั้งที่สองจำได้ไหม ตอนแรกเขาเตรียมถวายการต้อนรับสมเด็จพระนางเจ้าฯ แต่ไม่ได้เสด็จ ผมก็คิดว่า ตอนนี้อินเดียกับเรากำลังดีมาก และเค้ากำลังจะหนุนเราเรื่องเอซีดี เอเชียบอนด์ที่ผมคิดขึ้นมา ถ้าอินเดียกับจีนเอาจบหมด แล้วเราห่างกัน ไม่มีนายกไปเยือน 12 ปี พอผมไปปั๊บความสัมพันธ์ดี ต้องการรักษาความสัมพันธ์ ก็ไปบอกเขาเองว่า สมเด็จทรงติดพระราชภารกิจ เลยไม่เสด็จ ผมขอเชิญเขาเยือนไทยแทน ... ไม่เกี่ยวเลย ไปดูวาระการพูดคุยได้นะ ไม่มีความลับ พูดเรื่องอะไรบ้าง มีโน้ตหมด"
(สรยุทธ: มีข้อสงสัยทำไมตอนนั้นไม่พูดชี้แจง?) "พูดแล้ว แต่บางครั้งไม่อยากลงรายละเอียดมาก"
เรื่องปล่อยกู้พม่าก็ไม่รู้ไม่เห็น
(สรยุทธ: เรื่องปล่อยกู้รัฐบาลทหารพม่าเพื่อให้เขาเซ็นสัญญากับบริษัทครอบครัว) "ผมไม่เคยรู้เลยว่าจะมีดีลอะไร การประชุม ACMEC วันนั้น ทุกประเทศขอเงินกู้เพื่อซื้อสินค้าไทย เราก็อนุมัติหลักการ แต่ทางรัฐบาลไม่รู้รายละเอียด EXIM เป็นผู้อนุมัติว่าจะให้หรือไม่ให้ ไม่ใช่ให้ฟรีนะ เขากู้เรานะ เป็นวงเงินกู้ธรรมดา (สรยุทธ: บังเอิญได้เงินปุ๊บก็ทำโครงการกับชิน?) "เป็นโครงการที่เขาต้องการแก้ปัญหาเร่งด่วน แต่ผมจำไม่ได้ว่ามีเรื่องอะไร การปล่อยกู้วันนั้นไม่ใช่เรื่องรายละเอียดเลยนะ เป็นการปล่อยกู้หลักการ ลาว เขมร ก็มี ของพม่ามีนิดเดียวเอง ... ยืนยันว่าตัดสินทุกอย่างบนหลักการที่ถูกต้อง แต่ใครจะค้าขายอะไรในรายละเอียดผมไม่อาจรู้ได้"
แอร์เอเชียไม่เคยได้สิทธิพิเศษ
"ไม่จริงเลยๆ เรื่องแอร์เอเชีย หลักการอยู่ที่ว่า การเดินทางทางอากาศทั่วโลกเวลานี้มีสายการบินราคาถูก แต่ประเทศไทยยังไม่มี นโยบายคือเปิดให้มีเพื่อให้ประชาชนเดินทางสะดวก วันนั้นด่าแต่วันนี้ไม่เห็นด่า เพราะทำให้คนมีรายได้น้อยบินได้ ... มีโลวคอสต์เยอะแยะ ทุกคนแข่งขันกัน ประชาชนได้ประโยชน์ แอร์เอเชียไม่มีอภิสิทธิ์ทุกคนเหมือนกันหมด ทุกคนก็เลือกเส้นทางบิน ไม่มีจัดสรร แข่งกันได้ ทับเส้นทางได้ตลอด ... การบินไทยไม่มีถอย มีเหรอเส้นทางไหนมีกำไรแล้วถอย เอาข้อมูลมากางได้ รายละเอียดไปดูได้เลย ไม่มีใครขยับเพราะเกรงใจหรืออะไร
อ้างถ้ามีผลประโยชน์ทับซ้อนจะรวยยิ่งกว่านี้อีก
"บริษัทกลุ่มชินเข้าตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่ปี 32 ตั้งแต่ผมไม่เคยคิดเล่นการเมือง เพื่อระดมทุนมาขยายกิจการ เขาทำอย่างนี้กันทั้งนั้น บริษัทใหญ่ การบินไทย ปตท.ก็เข้า ก็เกิดการขยายธุรกิจได้เร็ว วันที่ผมเป็นรมว.ต่างประเทศ ผมเปิดเผยทรัพย์สิน เพราะพรรคพลังธรรมขอให้เปิดโดยรัฐธรรมนูญไม่บอกไว้ วันนั้นรู้กันผมมี 60,000 ล้าน เมื่อปี 2537 ตลาดหลักทรัพย์มันมีขึ้นมีลง วันที่เข้าตลาดดัชนี 297 จุด ตอนนี้ดัชนี 700 กว่าจุด มูลค่าของหุ้นชินขึ้นมา 238% ถือว่าใกล้เคียงกับตลาด ... ในเมื่อเศรษฐกิจประเทศดี ทุกอย่างดีตาม เหมือนผมเป็นกัปตัน เมื่อผมพาเรือเข้าฝั่ง ทุกคนในเรือก็ถึงฝั่งหมด ในนั้นจะมีคนรักผม เกลียดผม ก็ถึงฝั่งด้วยกัน เพระาผมพายเรือลำนี้ไป ... ถ้าผมมีผลประโยชน์ทับซ้อนผมต้องโตกว่านี้เยอะแยะสิ แต่กลุ่มชินก็โตเหมือนตลาด ทั้งที่มีหลายบริษัทโตกว่าผม"
73,000 ล้านไม่เสียภาษี ใครๆ เขาก็ทำกัน
"พูดถึงไม่เสียภาษี ตรงไหน ตรงหุ้น แต่บริษัทเสียภาษีโดยตลอดสะสมมา 50,000 กว่าล้าน จ่ายค่าตอบแทนสัมปทานให้รัฐแสนกว่าล้าน ครอบครัวผมเสียภาษีสองส่วน ส่วนหนึ่งคือภาษีเงินปันผล ได้เท่าไหร่เสีย 10% แล้วเอาไปฝากแบงค์เสียภาษีดอกเบี้ยอีก รวมๆ แล้ว 2,000 กว่าล้าน เสียมาตลอด แต่ว่าภาษีในช่องที่เรียกว่า ภาษีรายได้จากการขายหุ้น มันเป็นข้อยกเว้นตามกฎหมาย ที่ยกเว้นการขายหุ้นทั้งหมด นับตั้งแต่เปิดตลาดมามูลค่า 33.7 ล้านล้านบาท ไม่มีใครเสียภาษีเลย ถึงผมเอาไปเสียภาษี สรรพากรก็รับไม่ได้ กฎหมายไม่มี ... ผมก็บริจาค ครอบครัวตั้งมูลนิธิไทยคม และครอบครัวก็จะทำต่อไปเรื่อยๆ ไม่ใช่จะตายวันสองวันนี้ ก็ต้องทำไปเรื่อยๆ"
(สรยุทธ: บริจาค 20,000 ล้านตั้งแต่แรกก็จะไม่มีเสียงครหา) "เสนอมาผมก็รับฟัง ผมก็มีวิธีทำของผม ตอนผมจะติดคุกไม่เห็นมีใครมาถามผมเลย ตอนผมไปแลกเช็คจ่ายเงินพนักงาน ก็ไม่เห็นมีใครบอกอะไร คนเราต้องต่อสู้ชีวิต คนกว่าจะเดินมาชีวิตต้องต่อสู้ อย่าไปมองคนที่บรรทัดสุดท้าย"
อีกรอบ - โอนหุ้นในตลาด ยังไงก็ไม่เสียภาษี
"หุ้นทั้งหมดเดิมคือหุ้นในตลาดอยู่แล้ว เป็นหุ้นที่ขายเมื่อไหร่ก็ไม่เสียภาษีอยู่แล้ว โอนยังไงในตลาดก็ไม่เสียภาษี ถ้าโอนนอกตลาดอยู่ในราคาพาร์ไม่มีกำไรก็ไม่ต้องเสียภาษีอยู่แล้ว อันนี้เป็นหลักทั่วไป" (สรยุทธ: แต่ตอนที่โอนให้ลูก-พี่น้องบอกว่าจะเก็บภาษีต่อเมื่อขายแล้วมีกำไร?) "ถ้าขายนอกตลาดครับ ถ้าขายในตลาดมีกำไรก็ไม่เก็บไง ... เอ้า ... ก็ขายในตลาดก็ไม่เสียไง เขาถึงขายในตลาดกันไง" (สรยุทธ: อันนี้ก็เหมือนเทคนิคเลี่ยงภาษี?) "ไม่ใช่เลย นี่คือปกติเขาทำกัน"
"แอมเพิลริช" โอนให้เจ้าของ ยังไงก็ไม่เสียภาษี
(สรยุทธ: กรณีแอมเพิลริชโอนหุ้นให้คุณพานทองแท้หุ้นละหนึ่งบาท ก่อนจะขายให้เทมาเสก อันนี้เหมือนคุณพานทองแท้ได้หุ้นที่ตัวเองเป็นกรรมการ ฉะนั้นต้องเสียภาษีเหมือนพนักงานกฟผ.?) "คนละเรื่องกันเลย เขาเป็นเจ้าของบริษัทไม่ใช่เป็นกรรมการ ผมโอนเพราะตอนนั้นเดิมแอมเพิลริชเป็นชื่อของผม เตรียมเอาไปจดชื่อในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก ... พอผมเข้าการเมืองบริษัทนี้ก็ยกให้ลูก พอยกให้ลูกปุ๊บ มันก็น่าจะเป็นหุ้นดั้งเดิมในตลาดอยู่ ถึงเวลาถ้าลูกขายในนามแอมเพิลริช เงินก็จะต้องอยู่ต่างประเทศ แต่ลูกต้องการให้เอาเงินไว้ในประเทศไทย ฝากธนาคาร เอาไปปล่อยกู้ กระจายไปในระบบเศรษฐกิจ เขาตั้งใจเอาเงินไว้ในประเทศ หุ้นนี่มันก็ของเขาตั้งแต่ต้น มันไม่ได้เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา คนละเรื่องกับที่ฝ่ายค้านบอก มันเป็นเจ้าของ ไม่ใช่กรรมการ" (สรยุทธ: คนละเรื่องกับการเสียภาษีส่วนต่างราคาหุ้น?) "คนละเรื่องเพราะอันนี้เป็นเจ้าของ"
ไม่เคยพูด เรื่องบริษัทที่บริติชเวอร์จินเป็นพวกไม่รักชาติ
(สรยุทธ: คุณทักษิณเคยพูดไว้ว่าบริษัทที่ไปจดทะเบียนในประเทศอย่างบริติชเวอร์จิน เป็นพวกฟอกเงิน ไม่รักชาติ?) "ผมไม่แน่ใจว่าผมพูดขนาดนั้นเลยเหรอ? ผมว่าผมไม่ได้พูดขนาดนั้นหรอก รู้สึกจะหมายถึงในช่วงวิกฤติที่บริษัทล้มกัน มันมีอย่างนี้ มีบริษัทไปจดทะเบียนในต่างประเทศ แล้วให้บริษัทต่างชาติมาสั่งของในประเทศไทยในราคาที่สูงกว่าความเป็นจริง เพื่อให้บริษัทดูมีกำไร ให้หุ้นขึ้น เพื่อไประดมทุน คือไปแต่งกำไร นี่คือไม่ถูกต้อง ถ้าย้อนไปที่ผมพูดน่าจะหมายถึงอย่างนั้น เพราะมันมีบริษัทหนึ่งล้มไป เพราะกำไรที่แสดงไว้มันไม่มี ... ผมไม่ได้พูดขนาดนั้นแน่ เพราะผมก็พอจะเข้าใจอะไรเป็นอะไรอยู่"
ไปสิงคโปร์ ไปช็อปปิ้งอย่างเดียวจริงจิ๊งง
"(เรื่องดีลเทมาเส็ก) ผมมารู้เรื่องก็ตอนที่ลูกบอกว่าจะขาย เขาก็จัดการกันเอง เขาจ้างที่ปรึกษา มีลุงเขาจัดการ ... ตอนไปสิงคโปร์ ไปช็อปปิ้งอย่างเดียว พบแต่ผู้จัดการร้านช็อปปิ้งกับร้านอาหาร ... อะโธ่เอ๊ย รับรองเลย ภรรยาผมไม่ชอบไปฮ่องกงเพราะจอแจไป แต่ที่สิงคโปร์มันเรียบร้อยสะอาด ภรรยาผมไม่ชอบวุ่นวาย ... ไปถึงเช็กอินตอนเช้าผมเข้าคิวซื้อแมคฯ ได้พักจริงๆ สบาย ไม่รับแขกเลย แม้กระทั่งทูต บอกไม่จำเป็นอย่างมายุ่งกับผมเลย ไปถามทูตได้ ผมไม่รับแขกไม่พบใครเลย มีแต่ช็อปปิ้งกินข้าว เดินกันสบายๆ"
ไม่รู้ไม่เห็น แก้ถือหุ้น 49%
"กฎหมายนี้เสนอตั้งแต่ปี 43 คุณชวนเป็นนายก แล้วมาตรา 8 ที่เสนอมาเดิม จะให้สัดส่วนฝรั่งถือเท่าไหร่ กทช.เป็นผู้กำหนด คุณจองชัยเป็นกรรมการแก้เป็นถือหุ้นได้ 49% พอเรื่องถึงรัฐบาลผม เรื่องก็เดินต่อไป แล้ววุฒิฯ ก็แก้เหลือ 25% แล้วพอกลับมาที่สภา เราก็เอาตามนั้น พรรคประชาธิปัตย์เองเป็นคนค้านว่าควรเป็น 49% เพราะต้องรองรับการเปิดเสรีทางคมนาคม ... ตอนหลังบริษัทโทรคมนาคมทั้งหลายบอกว่าเดือดร้อน 25% ไม่ไหวไม่พอ แม้กระทั่งยูคอมซึ่งเทเลนอร์ถือหุ้นก็มาหาผมเลย มาขอเป็น 49% ซึ่งก็ตรงกับที่เรามีข้อตกลงเข้าดับบลิวทีโอ ต้องเปิดเสรีโทรคมนราคม ก็มีการแก้ต่อไป เรื่องนี้มันมาต่อเนื่อง ไม่เกี่ยวเลย"
ดาวเทียมยังเป็นสมบัติชาติเหมือนเดิม
"ต้องเข้าใจว่า การทำสัมปทานมีตั้งแต่สมัยพลเอกเปรมเป็นนายก ตอนนั้นไอเอ็มเอฟกำหนดไม่ให้ภาคเอกชนก่อหนี้เพิ่ม ให้มีการลงทุนได้ แต่ไม่เปิดช่องให้เอกชนเป็นเจ้าของ ให้วิทยุทั้งหมดเป็นของรัฐ เสาอากาศทั้งหมดเป็นของรัฐ เอกชนมีหน้าที่ซื้อแล้วมายกให้รัฐ แล้วมีหน้าที่ขายบริการเพื่อเอาเงินมาชำระที่ไปลงทุนไว้ เหลือก็เป็นกำไร ทุกอย่างเป็นของรัฐ ดาวเทียมก็ด้วย ไม่มีใครได้เป็นเจ้าของ"
"(กรณีชินคอร์ป) ความจริงแล้วทั้งหมดผู้บริหารเหมือนเดิมหมดเลย คนไทยหมดเลยนะ พวกนี้(สิงคโปร์)เค้าเป็นกองทุน เขาหวังอะไร หวังว่าหุ้นขึ้นในอนาคต หวังธุรกิจไปได้ดี เขาใช้คนไทยบริหาร ไม่อยากให้คนไทยไป พวกนี้เขามาเอาเงิน ทุนนิยมโลกาภิวัตร การเคลื่อนย้ายทุนเป็นเรื่องธรรมดา ... ตอนนี้ทุนข้ามไปข้างมา ถามว่าไทยอยู่ได้ไหมโดยไม่มีทุนต่างชาติ ไม่พอหรอก ไม่พอให้คนยากคนจนพ้นความยากจน เราต้องการเงินต่างประเทศในรูปแบบอะไรก็ได้ที่ไม่เสียหาย"
"ดาวเทียมสิงคโปร์จะใช้ได้ไง ก็มันเป็นของเรา ใช้ไม่ได้ เวลานี้ดาวเทียม ต่างประเทศเช่าใช้ก็เยอะ ดาวเทียมเหมือนอพาร์ตเมนต์มีไว้ให้เช่า แต่เจ้าของเป็นเจ้าของ แล้วตัวเช่าแต่ละห้องใครอยากมาเช่าก็เช่า เช่าแล้วเลิกคนอื่นมาเช่าได้ ... เรื่องความมั่นคงไม่เกี่ยวเลย"
จำเป็นต้องยุบสภาเพราะม็อบสนามหลวงเชื่อมโยงในสภา
(สรยุทธ: ไหนว่าตั้งใจจะให้มีการอภิปรายกันในสภา แล้วยุบสภาทำไม?) "เพราะมันเชื่อมโยงระหว่างม็อบสนามหลวงกับคนในสภา ก็ไปปรากฎตัวอยู่ประจำ ... การข่าวเราก็ชัดเจน ขนคนขนอะไรต่อมิอะไร ก็มีการเชื่อมโยงกันชัดเจน ... แน่นอน ทั้งส.ว. ทั้งส.ส. เชื่อมโยงกับการประท้วงข้างนอก กำลังจะใช้กติกานอกสภามากกว่าในสภา "
(สรยุทธ: ก็เปิดอภิปรายโดยไม่ต้องยุบสภาก็ได้นี่) "วันนั้นเหตุการณ์ขัดแย้งกันมาก คนนี่ก็อยากให้สู้ นั่นก็อยากให้ออก พอเริ่มขัดแย้งมากขึ้น ต้องตัดสินใจด้วยวิธีทางประชาธิปไตย ถามว่านายกฯ มีอำนาจตัดสินใจอยู่สองเรื่อง คือลาออกกับยุบสภา ผมก็ต้องเสนอยุบสภา เพราะยุบเท่ากับออกไปแล้วแต่ต้องรักษาการจนกว่าจะมีนายกฯ อันเกิดจากการเลือกตั้งใหม่มาแทน วันนี้ผมพ้นแล้วแต่กฏหมายบอกว่าต้องทำหน้าที่ไปก่อน ผมก็ทำ ผมก็พร้อมแล้วให้ประชาชนตัดสินเลยว่าจะเอายังไง ถ้าประชาชนเลือกไม่ถึงครึ่งหนึ่งผมก็ไม่เป็น"
รีบเลือกตั้งเพื่อเตรียมงานเฉลิมพระเกียรติในหลวง
"ก็กว่าจะเลือกนะครับ กว่าจะเลือกวันที่ 2 ประกาศแล้วประชุมได้ก็ 2 พฤษภาคม กว่าจะเลือกนายกฯ ประธานสภา ตั้งครม. ก็ 14-15 จากนั้นอีกภายใน 15 วันถึงแถลงเป็นรัฐบาลสมบูณ์ ก็สิ้นเดือน แล้วเดือนมิถุนายนนี่สำคัญ วันที่ 12 รัฐบาลเชิญพระราชอาคันตุกะมา คิดว่าวันนั้นต้องสมพระเกียรติ ควรจะมีรัฐบาลเรียบร้อยแล้วเพราะต้องเตรียมการอะไรต่อมิอะไร ... ในต่างประเทศเลือกตั้งภายใน 14 วันยังมีเลย (สรยุทธ: แต่เวลาจัดงานรัฐบาลรักษาการก็ทำได้นี่) "แล้วมันเหมาะสมหรือเปล่าล่ะ? สมมุติตั้งนายกแล้วแต่ยังไม่ตั้งรมต. มันจะคาบเกี่ยว"
อยากจะตันมันก็ตัน ไม่อยากตันก็ไม่ตัน
(สรยุทธ: สามพรรคการเมืองเสนอให้ประชุมสี่พรรค แต่คุณทักษิณไม่เอา?) "แปลว่าผมผิดงั้นสิ ให้ทางเลือกผม ผมต้องทำตามเขาหมดทุกอย่างเหรอ ผมก็ต้องมีจุดยืนของผมก่อนพบกัน ผมก็ต้องประชุมพรรคเพื่อดูจุดยืนพรรคก่อนไปร่วมกับเขา ... ผมก็ว่า เอ้า น่าจะให้พรรคอื่นที่ได้รับเงินหนุนจาก กกต.มาร่วมด้วย เพราะทุกคนมีสส.เป็นศูนย์หมด ... ผมแถลงที่พรรคเพื่อแถลงจุดยืนตัวเอง แต่พูดถึงสัญญาประชาคม เพราะผมถือว่ามันยิ่งใหญ่ เราให้สามสิบบาท พักหนี้ อันนี้มันยิ่งกว่าสัตยาบันของพรรคการเมือง"
(สรยุทธ: วันนั้นถ้าไปหาเลยก่อนแถลงอาจจะจบก็ได้?) "ไม่แน่ใจ ทำไมตัดสินใจก่อนถึงเวลานัดกัน 15-20 นาที ผมบอกให้คุณสุดารัตน์เดินไปหาเขา พอเดินไปนักข่าวบอกว่าเขาแถลงแล้ว ทำไมไม่รอ คิดว่าเขาไม่อยากลงอยู่แล้ว ... หลังจากนั้นก็มีความพยายามติดต่อกันอีกหลายครั้ง บางครั้งมีผู้ใหญ่พยายามไกล่เกลี่ย ผมก็ว่ายินดีพบเขา เมื่อไหร่ก็ได้ แต่สุดท้ายก็ไม่เกิด" (สรยุทธ: ทางตันตั้งแต่วันนั้น?) "ไม่หรอก อยากจะตันมันก็ตัน ไม่อยากตันก็ไม่ตัน"
ผมจะลาออกด้วยเหตุผลอะไร?
สรยุทธ: ถ้าจะลาออกเป็นไปไม่ได้? "ผมจะลาออกด้วยเหตุผลอะไร ผมลาออกผมก็เหมือนไปทรยศคนที่เขาเชียร์ผมอยู่จำนวนมาก แน่นอนคนไม่ชอบผมก็มาก ใครมากกว่ากันก็เป็นเรื่องการเลือกตั้ง ก็น่าจะรอ 2 เมษา ชัดเจน ผมพร้อมไปตามกติกาประชาธิปไตย จะให้ผมลาออกเพระการกดดันเท่ากับผมสร้างบรรทัดฐานที่แย่นะ"
"ปัญญาชน คืออะไร ผมไม่ใช่ปัญญาชนเหรอ ผมก็ด็อกเตอร์นะ รัฐธรรมนูญให้ความเป็นมนุษย์กับคนนะ วันนี้ผมคิดว่าอย่ากลัวการตัดสินของประชาชน ถ้าประชาชนให้ทักษิณเลิกเหอะ-กลับบ้าน ผมก็ยอมรับ แต่ถ้าให้ผมมาจากประชาธิปไตย แล้วมาทำให้ประชาธิปไตยพัง มันไม่ได้หรอก
(สรยุทธ: แต่อยู่ในวงการเมืองมานาน ไม่เคยเห็นคนมารวมตัวกันหลากหลายกลุ่มขนาดนี้เลยนะ?) "คณะอะไร กลุ่มอะไร จะตั้งชื่อให้สวยยังไงก็ได้ ตัวแทนจะตั้งชื่ออะไรบ้างก็ได้ ถ้าผมอยากมีตัวแทนยังไงก็ได้ ต้องถามประชาชนสิไปรังเกียจอะไร ออกจากสนามหลวงนะ ไปตระเวนบอกประชาชนให้ทั่วประเทศเลย ทักษิณไม่ดียังไง ประชาชนเขามีดุลพินิจ การตัดสินของประชาชนถือว่าเป็นที่สุด"
(สรยุทธ: นี่ขนาดคนที่เขาเกลียดกันเขายังมารวมตัวไล่คุณทักษิณเลยนะ) "ก็ไม่เห็นเป็นไรน่ะ ก็รอ 2 เมษายน"
(สรยุทธ: ยืนยันเดินหน้าอย่างนี้สังคมไม่วุ่นวายเหรอ เลือกตั้งไปคนก็ยังชุมนุม คนตั้งคำถามความชอบธรรมของสภา?) "แล้วจะให้ทำไง ให้ผมยอมใช่ไหม ผมอยู่ในกติกาแต่ผมต้องยอมคนอยู่นอกกติกางั้นเหรอ ตกลงวันนี้เราจะสร้างวัฒนธรรมว่าคนทำตามกติกาต้องยอมพ่ายแพ้คนนอกกติกา วันนี้ที่ผมยืนอยู่ ไม่ใช่ว่าผมติดยึดนะ ผมพร้อมเลิกทุกเวลานะ แต่ขอให้เป็นวิถีทางประชาธิปไตยเถอะ"
ถามเรื่องจริยธรรม ตอบ ...
(สรยุทธ: เรื่องจริยธรรมที่เขาพูดจากัน?) "ผมอยากเป็นคนใจเย็น ไม่อยากพาดพิงคน ผมก็เอาแค่เนี้ย แต่ขอยืนยันว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ทำทุกอย่างเป็นกติกาที่สากลเขาปฏิบัติกัน ... ถ้ามีคนกลางมาตรวจสอบก็ได้เลย แต่ต้องเป็นคนกลางที่ผมยอมรับด้วยนะ เพราะคนกลางบางทีไม่กลางจริง
"เอามา ทันที เชิญเลย ยินดี ไม่ได้ทำอะไรผิด กลัวอะไร ทำไมต้องกลัว ผมไม่ได้ทำอะไรผิดกลัวทำไม ... ผมไม่ได้ทำอะไรผิด ใครยึดทรัพย์ผมได้ คนทจะถูกยึดได้ต้องทำผิดอาญา"
ผมจะลาออกด้วยเหตุผลอะไร??
(สรยุทธ: แต่ยังไงก็ไม่มีทางลาออก?) ก็อย่างที่ผมบอก ตกลงสังคมจะให้คนที่ทำถูกต้องตามกติกายอมแพ้ไหม ถ้าสังคมว่ายอม คนที่เป็นนายก ต้องให้คนทำถูกเสียสละตลอดเวลาอย่างนั้นหรือ (สรยุทธ: แล้วที่คุณบรรหารขอให้เว้นวรรค?) "ผมมีวิธีของผม ผมคิดไรไว้ในใจเยอะ รับรอง แล้วจะเข้าใจผมมากกว่านี้ แต่วันนี้ยังพูดไม่ได้ ถึงวันนั้นทุกคนจะเข้าใจว่าตัวตนของผมคืออะไร"
อยากรู้เรื่องระเบิดให้ไปถามแถวสนามหลวง
(สรยุทธ: มีคนห่วงว่าเหตุระเบิดจะเป็นข้ออ้างให้ประกาศภาวะฉุกเฉิน?) เป็นการเร่งรัดของฝ่ายก่อการ ถ้าอยากรู้ว่าใครทำต้องไปถามพรรคพวกที่อยู่ที่สนามหลวง แต่รัฐบาล ในวันนี้ยังไม่มีความจำเป็นประกาศภาวะฉุกเฉิน (สรยุทธ: แล้วในอนาคต?) "สถานการณ์เป็นตัวกำหนด"
ฝากถึงพันธมิตรฯ-ฝ่ายค้าน
"ผมเป็นคนที่พูดรู้เรื่อง มีเหตุมีผล แต่ถ้ามาใช้ระบบที่ก้าวร้าว ระบบกล่าวหา แล้วก็มากดดันข่มขู่ มันเสียสถาบัน ฉะนั้นผมเองพร้อมให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน และอยากขอร้องว่า ถ้าใครมีอะไรขัดแย้งไม่พอใจผมจากการทำงาน จากความสัมพันธ์ส่วนตัว ผมอยากจะให้มาคุยกันแบบส่วนตัว แบบคนที่รู้จักกันมา แล้วเคลียร์เรื่องเหล่านั้นออก แล้วค่อยมาพูดกันเรื่องบ้านเมือง ขอให้ทุกคนคิดว่าทำหน้าที่ในส่วนของเราให้ดีที่สุด ใครมีหน้าที่อะไรก็ทำส่วนนั้น ไม่ต้องแสดงตนเป็นคนมากู้ชาติ เพราะชาติไม่เสียหายอะไรเลย วันนี้ชาติอยู่ในสภาวะดีมาก ทั้งศก การเงิน การคลัง ไม่มีความจำเป็นต้องกู้ชาติ เพราะชาติแข็งแรงดี ... หลายคนที่ไปอยู่เพราะเข้าใจผมผิด เพราะฟังข้างเดียว หลายคนที่พูดโดยไม่กลัวว่าหมิ่นประมาทยังไง ผมขอร้องว่า ก็โตๆ กัแล้ว คิดถึงบ้านเมือง คิดพึงพระเจ้าอยู่หัวของเรา ผมพร้อมพูดคุย แต่ไม่เจรจา เพราะไม่รู้ว่าจะเจรจากันในฐานะอะไรยังไง"