กรุงเทพฯ 27 ต.ค.-นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยกับการรับมือของรัฐบาล”
จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ โดยระบุว่า ปัญหาน้ำท่วมขณะนี้ส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) และอาจทำให้จีดีพีปี 2554 ต่ำกว่าปี 2553 เล็กน้อย โดยจะมีการหารือในคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจสัปดาห์หน้าทุกด้าน เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่ชัดเจน รวมถึงจะดูแลราคาสินค้า วัสดุก่อสร้าง ภายหลังจากน้ำท่วม ซึ่งจะต้องมีการก่อสร้างซ่อมแซม เพื่อไม่ให้มีราคาสูงเกินจริงจนกระทบต่อผู้ประสบภัย
นายกรัฐมนตรี คาดว่า ปีนี้จีดีพีจะเติบโตร้อยละ 7 และปีหน้าเติบโตร้อยละ 4.5-5 ซึ่งปีนี้เศรษฐกิจเติบโตสูง
เนื่องจากฐานต่ำมากในช่วงปีที่ผ่านมา โดยเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและเร็วกว่าที่คาดไว้จากหลายปัจจัยและหลายมาตรการที่นำเข้าไปแก้ปัญหา ในส่วนอัตราเงินเฟ้อ ตอนแรกรัฐบาลกังวลว่าจะสูงขึ้นมาก แต่สามารถบริหารให้อยู่ในกรอบร้อยละ 3-5 ได้ ตามเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ขณะที่การว่างงานลดลงอยู่ที่ร้อยละ 1 และขณะนี้เริ่มมีปัญหาขาดแคลนแรงงานในหลายอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต จึงเห็นว่าเมื่อผ่านพ้น 2 ปัจจัยหลักที่รัฐบาลเคยกังวล อีกทั้งขณะนี้การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีเกือบเข้าสู่การจัดทำงบแบบสมดุลแล้ว การมีทุนสำรองระหว่างประเทศที่สูงขึ้นและการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดทำให้ฐานะการคลังมีความยืดหยุ่นในการรองรับปัญหาความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากเศรษฐกิจโลก หลายปัจจัยที่ช่วยหนุนเศรษฐกิจไทย
อย่างไรก็ตาม นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงจากความหลากหลายในการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ทั้งจีน อินเดีย ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง และเศรษฐกิจยุโรป สหรัฐ ทำให้มีความไม่สมดุลจากการไหลเข้าของเงินทุน โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐยังเดินหน้าอัดฉีดเงินเพื่อแก้ปัญหาย่อมทำให้กระทบต่อเงินบาทแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องเจอกับปัญหาดังกล่าวอีกนาน ตลอดจนปัญหาภัยธรรมชาติยังส่งผลกระทบต่อไทย เพราะภาคการเกษตรเป็นอุตสาหกรรมหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เนื่องจากต้นปีมีปัญหาภัยแล้งไม่มีปริมาณน้ำเพียงพอในการปลูกข้าว การปลูกข้าวจึงล่าช้า ทำให้ข้าวยังไม่สามารถเก็บเกี่ยวได้ในช่วงนี้ เมื่อเจอปัญหาน้ำท่วมจึงได้รับความเสียหายอย่างมาก ความผันผวนทางธรรมชาติจึงเป็นปัจจัยเสี่ยงอีกด้านหนึ่งที่กระทบเศรษฐกิจของประเทศ
“ขณะที่ปัจจัยทางการเมือง ก็ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงอีกด้าน โดยขอยืนยันว่ารัฐบาลจะไม่อยู่ครบเทอมแน่นอน เพราะตั้งใจจะให้มีการเลือกตั้งในปีหน้า โดยขอประกาศว่าพรรคประชาธิปัตย์พร้อมแพ้การเลือกตั้ง หากสามารถทำให้บ้านเมืองกลับสู่ความสงบดีกว่าการชนะแล้วยังมีปัญหาทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง เพราะความเสี่ยงทางการเมืองยังมีอยู่ อย่างไรก็ตาม ยอมรับยังมีกลุ่มคนที่ไม่ต้องการให้มีการเลือกตั้งที่เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและยุติธรรม” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรียอมรับน้ำท่วมส่งผลกระทบต่อจีดีพี โดยเฉพาะปีหน้า
สำหรับความเสี่ยงอีกด้าน คือ ข้อกฎหมาย เช่น ปัญหาโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3 จี ปัญหามาบตาพุด
เนื่องจากไทยยังมีข้อด้อยในการตีความรัฐธรรมนูญ จึงเกิดความสับสนในการทำงานของหน่วยงานภาครัฐ แม้การดำเนินการหลายส่วนจะสอบถามคณะกรรมการกฤษฎีกาและนักกฎหมาย เพื่อดำเนินการไปตามคำแนะนำ แต่เมื่อเกิดปัญหาศาลรัฐธรรมนูญได้มีการตัดสินไปอีกด้าน เพราะข้อกฎหมายต้องรอให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาด จึงยังเกิดปัญหาเกี่ยวกับความเห็นทางกฎหมาย ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องใช้เครื่องมือที่มีความยืดหยุ่นรองรับปัญหาต่าง ๆ การเรียนรู้และเลือกใช้มาตรการ เพื่อให้เหมาะสมรวดเร็วทันสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น การเลือกแนวทางแจกเงิน 5,000 บาทต่อครัวเรือน เพื่อให้ถึงมือประชาชนโดยเร็ว เนื่องจากอดีตปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วมในปี 2551 บางพื้นที่ยังไม่ได้รับเงินการช่วยเหลือดังกล่าว
นายอภิสิทธิ์ ยอมรับว่า ต้องพยายามส่งเสริมศักยภาพการแข่งขันให้กับเอกชน
การเดินหน้าระบบสวัสดิการด้วยการเรียนรู้จากประเทศที่ไม่ใช่ระบบดังกล่าวและประเทศมีระบบสวัสดิการจนกระทบต่อฐานะการคลัง เพื่อนำมาปรับใช้กับประเทศไทย คาดว่าใน 6 ปีข้างหน้าระบบสวัสดิการของไทยจะมีความชัดเจนมากขึ้น
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า ปัญหาน้ำท่วมในหลายพื้นที่
แม้จะมีความเสียหายหลายหมื่นล้านบาท แต่เมื่อเทียบกับจีดีพีของประเทศที่มีมูลค่านับ 10 ล้านล้านบาทแล้ว คาดว่าไม่น่าจะเกิดความเสียหายมากต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม เพราะปัญหาดังกล่าวน่าจะเกิดในช่วงระยะสั้น.-สำนักข่าวไทย