นายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาลว่า
ตนให้มีการตรวจสอบภาพรวมทั้งหมดที่ไปปรากฏอยู่ที่ประเทศกัมพูชาในทุกประเด็น ต้องดูว่ามายังไง ที่มาที่ไปยังไงทั้งหมด ซึ่งขณะนี้ตนยังไม่ทราบทั้งหมด โดยตนกำลังให้ดำเนินการขยายผลจากคนที่นำพาสปอร์ตมาออกวีซ่า
“เราประสานกับกัมพูชาแน่เพื่อให้มีความร่วมมือกัน เพราะเหตุมันเกิดแล้วคือมันไม่ใช่เรื่องที่ว่าบอกเล่ากันเฉยๆ ส่วนมีการให้ความช่วยเหลือจากตม.หรือไม่ ผมขอตรวจสอบรายละเอียดก่อน อย่างไรก็ตามไม่มีประเด็นที่ต้องขัดแย้งกันกับกัมพูชา ซึ่งเราต้องยืนยันว่าประเทศเพื่อนบ้าน มิตรประเทศเขาก็ต้องให้ความร่วมมือกับเราในเรื่องที่เป็นความมั่นคง เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ที่ผมให้ระมัดระวังในเรื่องการให้ข่าวเพราะว่าถ้าให้ข่าวเฉยๆแล้วไปกระทบ แล้วมีการตอบโต้กลับไปกลับมามันก็ไม่มีความเข้าใจกัน แต่เวลามันมีข้อมูลอะไรเราก็ต้องขอความร่วมประสานเราทำได้เต็มที่อยู่แล้ว ก็ไม่กระทบความสัมพันธ์โดยผมจะพบกับนายกฯฮุนเซนในอีก 2 วัน ผมก็จะขอความร่วมมือเรื่องนี้ เพราะเดิมท่านก็บอกอยู่แล้วว่าถ้ามีเหตุ มีหลักฐานให้แจ้งมา ท่านจะร่วมมืออยู่แล้ว” นายกฯ กล่าว
เมื่อถามว่าความร่วมมือจะมีการขอตัวกลับมาหรือไม่
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ใช่แน่นอน ก็เหมือนกับที่ก่อนหน้านี้กัมพูชาเคยส่งกลับมา 2-3 คน ซึ่งตนจำไม่ได้ ทั้งนี้ตนจะพูดกับสมเด็จฮุนเซนในสิ่งที่เคยพูดกันไว้ว่าทางกัมพูชาพร้อมที่จะร่วมมือในการที่จะจับกุมบุคคลที่ทำผิดกฎหมายและหลบหนีเข้าไป ซึ่งหลักฐานที่เรามีตนคิดว่ามีเพียงพอในการที่จะคุยกับสมเด็จฮุนเซน
เมื่อถามว่าคิดว่าจะมีมากกว่าหนึ่งคนหรือไม่ที่หลบซ่อนอยู่ที่กัมพูชา นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็คงเป็นจุดที่บ่งบอกว่าคงจะต้องดูและขยายผลไปเพราะอาจจะมีคนอื่นๆด้วย
นายอภิสิทธิ์ แถลงข่าวตอนหนึ่งร่วมกับนาย บัน คี มุน เลขาธิการสหประชาชาติ ที่ตึกสันติไมตรีหลังนอก ทำเนียบรัฐบาล
ได้มีการพูดคุยกันถึงความสัมพันธ์ที่กำลังจะดีขึ้นระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ตนได้หารือกับสมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและเบลเยี่ยม รวมถึงการจะหารือกันที่ประเทศเวียดนาม โดยทั้ง 2 ฝ่ายจะแก้ปัญหาเขตแดนด้วยวิธีที่สันติผ่านกลไกทวิภาคีและคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม(เจบีซี)ไทย-กัมพูชา อีกทั้งจะมีมาตรการต่างๆที่เสริมสร้างความสัมพันธ์และการสื่อสารระหว่างกันให้ดีขึ้น ตลอดจนจะมีโครงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างกันในอนาคต