กกต. ยกคำร้องเรืองไกรฟ้องมาร์ค- ครม. ใช้สถานะก้าวก่ายออกมติครม.โครงการเอสพี2 ระบุเป็นอำนาจครม.ทั้งคณะ
วันนี้ (21ต.ค.) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายภุชงค์ นุตราวงศ์ รองเลขาธิการกกต. แถลงว่า ที่ประชุมกกต.ได้พิจารณาคำร้องของนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ที่ขอให้ กกต. ตรวจสอบกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ คณะรัฐมนตรี กระทำการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 266 (1) ที่ไม่ให้ ส.ส.และส.ว.ใช้สถานะเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเองและผู้อื่น ทั้งทางตรงและทางอ้อมในกรณีที่อนุมัติให้ดำเนินโครงการภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 หรือ SP2 ประเภทที่ 1 วงเงินลงทุนรวม 1,063,643 ล้านบาท โดยนำเอากิจการการลงทุนของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ไปอนุมัติด้วย เนื่องจากเชื่อว่าอาจเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 268 ประกอบมาตรา 266 ที่ระบุห้ามนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเข้าไปใช้อำนาจอันมีลักษณะก้าวก่าย หรือแทรกแซงการดำเนินงานในหน้าที่ประจำของพนักงาน หรือลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจ หรือกิจการที่รัฐถือหุ้น ซึ่งจะส่งผลให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต้องสิ้นสุดลง
นายภุชงค์ กล่าวต่อว่า โดยที่ผ่านมา กกต.ได้ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนและเชิญนายเรืองไกรมาให้การรวมทั้งให้ที่ปรึกษากฎหมายได้พิจารณา ซึ่งที่ปรึกษากฎหมายเห็นว่า กกต.ไม่มีอำนาจพิจารณาตามมาตรา 180 (1) และ182 (7) เนื่องจากเป็นเรื่องของการใช้อำนาจของรัฐมนตรีทั้งคณะ ไม่ได้เป็นเรื่องรายบุคคลตามคำร้อง ดังนั้นกกต. เสียงข้างมากจึงมีมติเห็นควรให้ยกคำร้อง
อย่างไรก็ตามมีรายงานว่า ในการพิจารณาของคณะอนุกรรมการไต่สวน ในชั้นแรกเห็นว่าเรื่องดังกล่าวมีมูลความผิด และได้ส่งหนังสือเชิญไปให้นายกฯและครม.ชี้แจงกรณีดังกล่าว แต่ปรากฏว่าขณะนั้นทางครม.ได้มีหนังสือขอหารือไปยังกฤษฎีกา ว่าเรื่องดังกล่าวกกต.มีอำนาจในการดำเนินการตรวจสอบหรือไม่ ซึ่งปรากฏว่าทางกฤษฎีกามีความเห็นว่ากกต.ไม่มีอำนาจในการพิจารณา ทางกกต.จึงต้องนำความเห็นของกฤษฎีกาส่งให้กับคณะอนุกรรมการฯไปพิจารณา ในที่สุดทางคณะอนุกรรมการฯจึงมีมติว่าเรื่องดังกล่าวไม่อยู่ในอำนาจของกกต.