ทีมกฎหมาย ปชป.จวก กกต.มุบมิบเอกสารสำคัญคดียุบพรรค

ที่รัฐสภา นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะคณะทำงานด้านกฎหมายเพื่อต่อสู้คดียุบปชป. ถึงกรณีใช้เงินกองทุนสนับสนุนพรรคการเมือง 29 ล้านบาทผิดวัตถุประสงค์ เปิดเผยว่า

ก่อนการไต่สวนพยานฝ่ายผู้ถูกร้องนัดสุดท้าย ในวันที่ 18 ต.ค.ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกกล่าวหาในฐานะรองหัวหน้าปชป. และแกนนำปชป.อื่นๆ รวม 4 รายขึ้นให้ปากคำนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาปชป.ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานฯจึงได้นัดประชุมอีก 2 ครั้งเพื่อเตรียมการ ได้แก่วันที่ 14 ต.ค.เวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา และวันที่ 17 ต.ค.เวลา 14.00 น. ณ ที่ทำการปชป.

นายวิรัตน์ กล่าวว่า แม้ไม่สามารถตอบได้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะยุบปชป.หรือไม่ แต่คณะทำงานฯบอกได้ว่า จากการสืบพยานที่ผ่านมา ยืนยันว่าปชป.ไม่ได้ทำอะไรผิด

แต่ขณะนี้เริ่มมีการปล่อยข่าวจากฝ่ายตรงข้าม ว่าปชป.จะไม่ถูกยุบ เพราะมีมือที่มองไม่เห็นเข้ามาช่วยเหลือ เพื่อทำให้คนเข้าใจผิดว่าสาเหตุที่ปชป.ไม่ถูกยุบ เพราะมีอำนาจพิเศษเข้ามา ซึ่งไม่เป็นความจริงและอยากให้ยุติ เพราะมีหลักฐานเป็นมติของกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองเมื่อวันที่ 19 พ.ย.2547 ว่าหากพรรคใดใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ ให้คืนเงินภายใน 30 วันหลังเลขาธิการกองทุนฯแจ้ง แต่ 5 ปีผ่านมา นอกจากเลขาธิการกองทุนฯจะไม่แจ้งให้ปชป.คืนเงิน นายทะเบียนพรรคขณะนั้น ยังรับรองบัญชีการใช้จ่ายเงินของปชป.ด้วย

"สำนวนคดีดังกล่าวเกิดจากการกลั่นแกล้ง ตั้งแต่ชั้นเจ้าหน้าที่ของทั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยเอกสารเกี่ยวกับมติกองทุนฯ เมื่อวันที่ 19 พ.ย.2547 เป็นเอกสารร.3 ซึ่งเป็นเอกสารที่ปชป.ขอไป แล้วกกต.มอบต่อศาลรัฐธรรมนูญเอง สิ่งที่ทำให้เราไม่สบายใจ คือกกต.ที่มีหน้าที่อำนาจความเป็นธรรมให้กับทุกพรรคการเมือง แต่กลับไม่มอบเอกสารสำคัญในคดีนี้ต่อศาลรัฐธรรมนูญ จนปชป.ในฐานะผู้ถูกร้องต้องทำเรื่องขอไปถึง 3 ครั้ง เช่น เอกสารบันทึกของนายอิศระ หลิมศิริวงศ์ ประธานอนุกรรมการสอบสวนของกกต.ที่เห็นว่าปชป.ใช้จ่ายเงินกองทุนฯถูกต้องแล้ว" นายวิรัตน์ กล่าว

เมื่อถามว่ามีข่าวว่าจะเพิ่มนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง จะมาเป็นพยานฝ่ายผู้ร้อง นายวิรัตน์ กล่าวว่า

ที่ผ่านมานายอภิชาตเคยระบุตัวเองไว้เป็นพยานในคดีการถือครองหุ้นของส.ส.และส.ว.แต่ถึงเวลากลับขอสละสิทธิ์ ไม่มาให้การต่อศาล จึงเชื่อว่าในคดีนี้นายอภิชาตจะไม่มาเป็นพยานให้เช่นกัน เพราะนายอภิชาตและกกต.รายอื่นไม่ได้ระบุตัวเองไว้ในบัญชีพยานมาแต่ต้น