“กษิต”เชื่อ“สุเทพ”ทิ้งเก้าอี้รองนายกฯ ไม่กระทบงานมั่นคง

“กษิต”เชื่อ“สุเทพ”ทิ้งเก้าอี้รองนายกฯ ไม่กระทบงานมั่นคง  วอนคนทำร้ายสังคมไทยหยุดได้แล้ว ยันสื่อไทยมีเสรีภาพไม่แพ้ชาติอื่น

วันนี้ ( 29 ก.ย.) ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา  นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ซึ่งอยู่ระหว่างมาร่วมประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์เสนอให้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ลาออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี เพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส.สุราษฎร์ธานี เขต 1 ในขณะที่ยังมีเหตุการณ์ระเบิดเกิดขึ้นหลายจุด ว่า เรื่องการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ถือเป็นเรื่องภายในพรรคประชาธิปัตย์ แต่ถ้าไม่มีรองนายกรัฐมนตรี ก็เชื่อว่าไม่กระทบกับการดูแลความเรียบร้อย เพราะในคณะรัฐบาลยังมีกลไกในตัวที่ทำงานได้ ทั้ง รมว.กลาโหม และรมว.มหาดไทย ซึ่งมีโครงสร้างในตัวที่สามารถประสานงานได้อยู่แล้ว
               
“อย่าลืมว่ารองนายกรัฐมนตรีได้รับมอบหมายให้เป็นเพียงผู้ประสาน แต่ตัวบทกฎหมายอยู่ที่กระทรวง ทบวง กรม เราก็มีกอ.รมน. มีโครงสร้างในตัวเองอยู่ สามารถประสานได้ ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นที่องค์บุคคล แต่ขึ้นอยู่กับกฎหมาย โครงสร้าง อย่าลืมว่าต้องพึ่งที่ตัวกฎหมาย ตัวโครงสร้างของการบริหารจัดการก็มีกลไกของมันอยู่”นายกษิต กล่าว
               
ส่วนการให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเอบีซี และหนังสือพิมพ์วอล์สตรีท เจอร์นัล

นั้น รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า ได้มีการสอบถามถึงเหตุระเบิดที่เกิดขึ้น ซึ่งตนต้องวิงวอนให้คนที่ทำการร้ายต่อสังคมไทย ต้องยุติการกระทำ เพราะไม่มีใครเอาด้วย และไม่สามารถนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลง เพื่อจะกลับสู่อำนาจทางการเมืองของคนที่จะใช้ความรุนแรง เป็นเรื่องของการสร้างความหวาดหวั่นหวาดกลัวต่อคนในชาติ และถือเป็นการสร้างความเสียหายต่อประเทศชาติ ซึ่งไม่ควรทำ เพราะปกติก็มีรัฐสภา มีสิทธิของประชาชนที่ต้องการแสดงออก โดยสามารถมีส่วนร่วมในการแสดงความเห็นต่อคณะกรรมการปฏิรูปชุดต่างๆ ทั้งปฏิรูปสังคม รัฐธรรมนูญ และปฏิรูปสื่อ โดยเฉพาะสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของสื่อมวลชนของไทย ต้องขอยืนยันว่าไม่เป็นรองใครในโลก เพราะไทยเป็นสังคมที่เปิด แต่การจะยุยงให้คนฆ่าหรือทำร้ายกันนั้นถือว่าไม่ได้เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพ แต่เป็นการสร้างความเกลียดชังโดยการบิดเบือนข้อมูล ทั้งนี้ตนได้ย้ำถึงความมุ่งมั่นในการเป็นสังคมประชาธิปไตยอย่างเต็มรูปแบบ และสร้างความเข้าใจว่าต่อทิศทางของประเทศไทยและแผนปรองดอง