ปรองดอง ที่ยังไร้ รูปธรรม กับการช่วงชิงกระแสการเมือง

ความเคลื่อนไหวทางการเมืองในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาดูจะ “คึกคัก” ที่สุด เป็นความ “คึกคัก” หลังผ่านเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองในวันที่ 19 พฤษภาคม มาได้ 4 เดือน
   
คำว่า “ปรองดอง” ถูกหยิบยกขึ้นมาใช้อธิบายทุกความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่กำลังเกิดขึ้น ดูแล้วแทบไม่มี “ฝ่ายใด” ไม่เอาด้วยกับแนวทางการปรองดอง แต่ “ทุกฝ่าย” ที่เห็นด้วย กับแนวทางการปรองดองนี้ มีรูปแบบ วิธีการ และกระบวนการ    “ปรองดอง” ที่แตกต่างกัน
   
เริ่มที่ พรรคประชาธิปัตย์ อย่าง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี บอกว่าให้รอความชัดเจน “เบื้องต้น” จาก 5 คณะกรรมการปฏิรูปที่ตั้งขึ้น โดยเฉพาะความชัดเจนจาก 2 คณะกรรมการคือ คณะกรรมการหาข้อเท็จจริงและคณะกรรมการศึกษาแนวทางการแก้ไข “กติกา” ที่ชื่อว่ารัฐธรรมนูญ
   
ขณะที่พรรคภูมิใจไทย โดย นายเนวิน ชิดชอบ ผู้สนับ สนุนหลักอย่างเป็นทางการของพรรค ประกาศเดินหน้าขอเสียงสนับสนุนจากประชาชนเพื่อสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพราะเชื่อว่าจะเป็นการเอาฟืนออกจากไฟ หรือพูดง่าย ๆ คือ ใครก็ตามที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ไม่ว่าจะสีไหน ควรที่จะได้รับการนิรโทษกรรม ขณะที่ผู้บงการ ผู้สั่งการ ผู้ก่อการ ผู้จ้างวานเหล่านี้ ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม
   
ร่าง พ.ร.บ.ของพรรคภูมิใจไทยไม่รวมคดีทางการเมือง “ตัดสิทธิ 5 ปี” ของอดีตนักการเมืองบ้านเลขที่ 111 และบ้านเลขที่ 109 แต่อย่างใด

   
หันมาที่พรรคชาติไทยพัฒนา ล่าสุดนายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ประกาศร่วมหัวจมท้ายสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมกับพรรคภูมิใจไทย ขณะที่อีกส่วน “เสธ.หนั่น” หรือ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนาก็ประกาศเดินหน้าเป็น “คนกลาง” เพื่อให้เกิดการพูดคุยขึ้นในทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายสีแดงผ่านทางนายวีระ มุสิกพงศ์ ฝ่าย “สีเหลือง” ผ่านทางนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชา ธิปไตย
   
สุดท้ายพรรคเพื่อไทย ที่วันนี้ “ชัดเจน” ว่าไม่เอาด้วยกับแนวทาง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม นอกจาก “ไม่เอา” แล้วยังเปิดประเด็นใหม่ทางการเมือง


ไม่ว่าจะเป็น “บิ๊กจิ๋ว” หรือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ที่ออกมาตั้งข้อ   สังเกตว่า ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของพรรคภูมิใจไทยนี้หวังที่จะช่วยเหลือนักการเมืองบ้านเลขที่ 111 บางคน เท่านั้น ขณะที่     “มวลชน” อย่าง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน แกนนำคนเสื้อแดง ประกาศว่าหากถึงตอนที่ร่างกฎหมายนี้ได้รับการพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรเมื่อไร จะนำมวลชนคนเสื้อแดงมาปิดล้อม
   
ความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจคือ การที่พรรคเพื่อไทยจัดตั้งศูนย์เยียวยาคนตายในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองด้วยการให้นายจตุพรเป็นประธาน ถือเป็น “วิธีการ” ตรึงมวลชนไม่ให้ถูก ดึงออกไป การประกาศว่าหากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลจะจ่าย  ให้ศพละ 10 ล้านบาท ก็เป็น “วิธีการซื้อใจ” มวลชนอย่างหนึ่งเท่านั้น            
   
ท่ามกลางข่าวความปรองดอง ก็มีการคาดการณ์เกี่ยวกับผลของคดียุบพรรค 29 ล้านของพรรคประชาธิปัตย์ ที่วันนี้ “ฝ่ายตรงข้าม” สร้างกระว่า “ยุบ” แน่นอน และมองเลยไปถึงเสถียรภาพของรัฐบาล การเปลี่ยนขั้วทางการเมือง และผูกโยงเข้ากับการเคลื่อนไหวของ พล.ต.สนั่น    


ความน่าสนใจวันนี้อยู่ตรงที่ว่า สถานการณ์ใหม่ที่ทุกฝ่าย ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองจะนำสู่ความปรองดองทางการเมืองที่ทุกฝ่าย “ฝัน” หรือไม่ยังไม่มีใครตอบได้ แต่ตราบใดที่สถานการณ์ยังเป็นการ “ชิงเหลี่ยม” ทางการเมืองก็เชื่อว่าการปรองดองก็เป็นแค่คำ ๆ หนึ่งในทางการเมืองที่หา “รูปธรรม” อะไรไม่ได้
   
แต่หากดูความน่าจะเป็นที่เป็นไปได้มากที่สุด ต้องจับตาที่พล.ต.สนั่น มีหลายเหตุผลที่คิดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น
   
ประการแรก ความเป็นนักการเมืองมือเก่า เป็นมือประสานสิบทิศทางการเมืองมาก่อน รู้สึกและมีเครือข่ายทางการเมืองที่จะพูดจากับฝ่ายต่าง ๆ ได้
   
ในพรรคเพื่อไทย อย่าง นายยงยุทธ ติยะไพรัช มือขวา   พ.ต.ท.ทักษิณ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ หรือ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง ขณะที่เสื้อแดงก็อย่างนายวีระ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ร่วมกัน ขณะที่เสื้อเหลืองก็มีเพื่อน จปร.7 อย่าง “มหาจำลอง” หรือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง 1 ในแกนนำพันธมิตรฯ หรือแม้แต่พรรคขนาดเล็กอย่างพรรคชาติไทยพัฒนาของ นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ พรรคเพื่อแผ่นดินกลุ่ม พล.ต.อ. ประชา พรหมนอก หรือกลุ่ม 3 พี อย่าง นายพินิจ จารุสมบัติ ล้วนแล้วแต่สนิทสนมกันมาก่อน
   
ยังไม่รวมไปถึงทหารเก่าไม่เคยตาย อย่าง พล.ต.มนูญ กฤต รูปขจร หรือ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ผู้อำนวยการเลือกตั้ง จ.บุรีรัมย์ พรรคเพื่อไทย หรือแม้แต่ในพรรคประชาธิปัตย์ก็มี ส.ส.บางส่วนที่เคยสังกัดบ้านสนามบินน้ำครั้ง เสธ.หนั่นเป็นเลขา ธิการพรรคประชาธิปัตย์มาก่อน
   
เป็น “คอนเนคชั่น” ที่หาได้ยากในยามที่ทุกฝ่ายต้องหันหน้าเข้าหากัน
   
ประการต่อมา ภาพทางการเมืองของ พล.ต.สนั่น นั้นออกไปในทางกลาง แม้จะสังกัดพรรคประชาธิปัตย์แต่การย้ายพรรคไปสังกัดพรรคชาติไทย ก่อนถูกยุบพรรคแล้วเปลี่ยนมาเป็นพรรคชาติไทยพัฒนานั้น บอกชัดเจนถึงความสัมพันธ์ระหว่าง เสธ.หนั่นกับผู้บริหารพรรคอย่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ หรือการได้อยู่พรรคชาติไทยพัฒนาซึ่งเป็นพรรคที่สังกัดรัฐบาลมาแล้ว    ตั้งพรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำ พูดง่าย ๆ ว่าผ่านมาแล้วทั้ง 2 ขั้ว
   
นี่อาจจะเป็น “คุณลักษณะสำคัญ” ที่น่าทำให้การเมืองต้องกลับมาคุยกัน

   
ปัญหาในเวลานี้คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คิดอย่างไรกับการเคลื่อนไหวของ พล.ต.สนั่นในครั้งนี้ จะเอาด้วยหรือจะไม่เอา
   
ล่าสุด นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ออกมาระบุว่า
พ.ต.ท.ทักษิณพร้อมพูดคุยหากทุกฝ่ายจริงใจไม่เอาเรื่อง “ปรองดอง” มาเป็นเกมทางการเมืองหรือหวังผลจากคดียุบพรรคประชาธิปัตย์
   
“จากการพูดคุย พ.ต.ท.ทักษิณยังย้ำว่าพร้อมจะสนับสนุนให้เกิดความปรองดองในชาติ แต่การปรองดองต้องไม่ใช่การทอดทิ้งพี่น้องประชาชนผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการชุมนุม และต้องไม่ใช่การคลานเข้าไปขอปรองดอง แต่ต้องปรองดองบนศักดิ์ศรี บนความเป็นธรรมและความเท่าเทียมกัน”

   
ยังไม่มีรูปธรรมที่ชัดเจนออกมาจากปากของพ.ต.ท.ทักษิณ ว่า จะปรองดองกันนั้น ต้องเริ่มที่อะไรก่อน เริ่มอย่างไร มีเพียงแต่คำพูดกว้าง ๆ ว่า ต้องเป็นธรรม ต้องเท่าเทียมเท่านั้น
   
เชื่อว่าสภาพการเมืองในช่วง 3 เดือนจากนี้ (ตุลาคม- พฤศจิกายน-ธันวาคม) จะเป็นการเมืองในลักษณะสร้างกระแส ชิงความนิยมและเปิดประเด็นหาเสียงทางการเมือง เป็นความเคลื่อนไหวเพื่อรอความชัดเจนจากคดี “ยุบพรรคประชาธิปัตย์”
   
ต้องไม่ลืมว่า ที่ทุกฝ่ายคาดการณ์ว่าความชัดเจนคงมีขึ้นไม่เกินเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ หากเป็นไปในทางหนึ่งทางใด ก็ยังมีอีก “ดาบ” ที่พรรคเพื่อไทยรอไว้นั่นคือการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งก็น่าจะเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายพอสมควร
   
สภาพการเมืองที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ ยังไม่มีอะไรที่ไกลไปกว่าแค่ใช้ คำว่า “ปรองดอง” เคลื่อนไหวทางการเมือง.

เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์