ยันคดียุบพรรคไร้ผลทางการเมือง

“มาร์ค” ยันผลตัดสินคดียุบพรรคไร้ผลต่อการตัดสินใจทางการเมือง ปัดวิพากษ์ชี้คดีอยู่ในศาลฯ แล้ว

วันนี้ (12 ก.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กรณีที่กล่าวในรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์" ว่า จะขอเวลาอีก 2-3 เดือน ในการประเมินเหตุการณ์ทั้งหมด คู่กับการรายงานผลของคณะทำงานต่าง ๆ ด้านการปฏิรูปประเทศ การสร้างความปรองดอง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อดูความเหมาะสมเรื่องการเลือกตั้งใหม่ในช่วงต้นปีหน้า ว่า คณะกรรมการต่าง ๆ ที่ตนตั้งขึ้น นับจากนี้ไป 2-3 เดือน ถือว่าได้ทำงานมาเกือบครึ่งปี ซึ่งควรจะมีความชัดเจนพอสมควรว่าอะไรเป็นอะไร ขณะเดียวกันเราจะผ่านพ้นเหตุการณ์ช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.มากว่าครึ่งปีเช่นกัน ขณะที่ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2554 ก็ผ่านความเห็นชอบแล้ว และเศรษฐกิจก็ดูจะฟื้นตัวได้ดี จึงน่าจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม

เมื่อถามว่า ถ้าดูความคาบเกี่ยวของช่วงเวลาแล้ว มีการประเมินว่าศาลรัฐธรรมนูญอาจตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงปลายปี คิดว่าจะเป็นปัจจัยอะไรที่ทำให้เกิดการพลิกผันทางการเมืองหรือไม่

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ต้องว่าไปตามกระบวนการ ตรงนี้คงไม่อยู่ในจุดที่จะมาบอกว่าต้องประเมินตรงนั้นตรงนี้ ส่วนคดีจะออกมาอย่างไรนั้น ก็อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ คิดว่าคดีของพรรคจะไม่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจทางการเมือง เพราะเท่าที่ตนติดตามคดีนี้ เห็นว่าวันที่ 13 ก.ย.นี้ เป็นวันสุดท้ายของการสืบพยานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และการสืบพยานในฝ่ายของพรรคนั้น ตนคิดว่าไม่น่าจะเกิน 3-4 นัด ซึ่งน่าจะเสร็จประมาณสิ้นเดือน ต.ค.นี้ และคงจะมีการตัดสินคดีในเดือน พ.ย. จึงอยู่ในกรอบที่เราระบุว่าอยู่ในช่วง 2-3 เดือนนี้

เมื่อถามว่า การที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย

วิเคราะห์ว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์สามารถรอดพ้นจากคดียุบพรรคได้ รัฐบาลจะอยู่ได้จนครบวาระนั้น นายกฯ กล่าวว่า ตนไม่ได้ปักธงว่าต้องอยู่ครบวาระ และยังยืนยันว่า ถ้าการเลือกตั้งจะช่วยให้บ้านเมืองกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ ตนก็พร้อมให้มีการเลือกตั้ง แต่จะเกิดได้เมื่อต้องตามเงื่อนไขที่ตนเคยพูดหลายครั้งแล้ว

เมื่อถามย้ำว่า คิดว่าพรรคจะผ่านพ้นคดีไปได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ หัวเราะ แล้วกล่าวว่า ตนไม่ควรพูด เพราะคดีอยู่ในศาลฯ แล้ว แต่ตนได้เห็นข้อเท็จจริง และความเข้มแข็งของคณะทำงาน.