ไม่หวังชนะ ชี้กล่าวหา กกต.จับมือดีเอสไอจ้องยุบเข้าข่ายหมิ่นประมาทไม่เป็นธรรม
วันนี้ ( 2ส.ค.) ที่โรงแรมรามาการ์เดนส์ ถนนวิภาวดีรังสิต นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการพรรคการเมือง
กล่าวถึงกรณีที่กกต.ขอตัวนายกิตินันท์ ธัชประมุข อัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 5 มาเป็นผู้ว่าคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ในศาลรัฐธรรมนูญว่า เรื่องดังกล่าวนี้ที่ประชุมกกต.เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ และเป็นครั้งแรกที่มีการยุบพรรคการเมืองตามพระราชบัญญัติยุบพรรคการเมือง ซึ่งต่างจากการยุบพรรคที่ผ่านมาที่เป็นการยุบตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง และการได้มาซึ่งส.ว. ที่มีคำพิพากษาศาลฎีกา แผนกคดีเลือกตั้ง ไว้เป็นบรรทัดฐานแล้ว โดยที่ประชุมกกต.เห็นว่านายกิตินันท์เป็นคณะทำงานร่วมระหว่างอัยการสูงสุดและกกต. ที่พิจารณาสำนวนเงินบริจาค 258 ล้านจึงถือว่ารู้ข้อมูลดีในเรื่องนี้ ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับคดีการใช้จ่ายเงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาท กกต.จึงได้ขอความร่วมมือให้มาช่วยว่าคดี
“ที่กล่าวหาว่ากกต.ร่วมมือกับดีเอสไอเพื่อที่จะยุบพรรคนั้น ถ้ามองว่าเป็นการหมิ่นประมาทก็เป็นไปได้ เพราะพูดอย่างนี้ต้องมีพยานหลักฐานมายืนยันการกล่าวหา แต่อยากอธิบายว่าเมื่อมีผู้ยื่นคำร้องพร้อมพยานหลักฐานแล้วถ้ากกต.ไม่ปฏิบัติก็ต้องถูกเล่นงาน ตามม.157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ดังนั้นไม่ว่าฝ่ายใดยื่นคำร้อง กกต.ก็ต้องดำเนินการ ดังนั้นที่กล่าวหาว่ากกต.อคติกับพรรคใดก็ต้องถือว่าไม่ให้ความเป็นธรรมกับกกต. เพราะจะว่าไปที่ผ่านมายังไม่เคยมีคำพิพากษาใดๆเกี่ยวกับการยุบพรรคอันเนื่องมาจากความผิดลักษณะนี้ตามพ.ร.บ.พรรคการเมืองเป็นพื้นให้กับกกต.ใช้เทียบเคียงได้ อีกทั้งที่ผ่านมาการที่เจ้าหน้าที่กกต.ไปทำหน้าที่ว่าความคดีในศาลถ้าเทียบกับทนายก็เหมือนเป็นมวยวัดคงสู้เขาไม่ได้ การใช้ทนายมืออาชีพจึงสำคัญ เพราะเรื่องเทคนิคการว่าความซักค้านทำลายน้ำหนักพยานเป็นความสามารถที่เจ้าหน้าที่กกต.ไม่มี ซึ่งการขอความร่วมมือไปที่อัยการก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดเพราะกกต.ก็เคยขอความร่วมมือจากตำรวจมาให้ช่วยสอบสวนคดีแล้วและการที่ทนายมาช่วยก็ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องทำให้กกต.มั่นใจว่าจะชนะคดี เพราะเรื่องนี้เป็นดุลพินิจของศาล กกต.เห็นเพียงว่าการได้อัยการมาช่วยดูแลในเรื่องการซักถามพยานน่าจะเป็นผลดีเท่านั้น ไม่ได้คิดว่ากกต.จะชนะคดี” นางสดศรีกล่าว.