ที่รัฐสภา นายวิรตน กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ หนึ่งในคณะทำงานฝ่ายกฎหมายสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์
แถลงถึงภาพรวมการสู้คดีในศาลรัฐธรรมนูญล่าสุดเมื่อวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา ว่า จากการซักค้านพยานในนัดแรก เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคมที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่ามีการสบคมกันระหว่างอดีตข้าราชการกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กับนักการเมืองพรรคหนึ่ง โดยพบว่ามีการให้เงินส.ต.ท.ทชภล พหรมจันทร์ เป็นเงินรวมเกือบ 1 ล้านบาท และยังพบว่าส.ต.ท.ทชภล ยังมีความสนิทสนม กับพ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไปมาหาสู่มานั่งหน้าห้องทำงานที่ดีเอสไอกันเป็นประจำ นอกจากนี้ส.ต.ท.ทชภลยังเป็นแกนนำคนเสื้อแดง ที่ขึ้นปราศรัยที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อบีบให้กกต.ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ถือว่าเป็นพยานรับใช้ดีเอสไอกับพรรคการเมืองชัดเจน
นายวิรัตน กล่าวว่า นอกจากนี้ เห็นได้ชัดว่า คณะทำงานของกกต.ที่มีนายอิสระ หลิมศิริวงศ์ เป็นประธาน ได้มีมติถึง 3 ครั้ง ว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีความผิด
ซึ่งตามขั้นตอนจะต้องเสนอให้นายทะเบียนพรรคการเมืองลงความเห็น หากไม่เห็นด้วยกับคณะทำงาน ก็จะต้องส่งให้กกต.ชุดใหญ่วินิจฉัย เพื่อส่งศาลรัฐธรรมนูญต่อไป แต่นายทะเบียนพรรคการเมืองได้ลงนามเห็นชอบตามคณะทำงานไปแล้ว ถือว่าเรื่องน่าจะจบ แต่ปรากฎว่าเกิดเหตุกลุ่มเสื้อแดงยกขบวนไปบีบ และมีการข่มขู่ว่า ถ้าไม่ยุบประชาธิปัตย์ ก็จะยุบชีวิตของกกต.ทั้ง 5 คน จนในที่สุดจึงมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาตรวจสอบใหม่ แต่คณะทำงานชุดดังกล่าวกลับไม่ได้สอบพยานเพิ่มเติม โดยพิจารณาจากสำนวนเดิมแล้วตัดสินยุบพรรคประชาธิปัตย์
นายวิรัตน กล่าวอีกว่า สำหรับการสืบพยาน 5 ปากในนัดที่ 2 เมื่อวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา จะเห็นชัดว่านายอนุชิต ปราสาททอง ผอ.สำนักบริหารการสนับสนุนโดยรัฐ พยานฝ่ายกกต.
ได้ยอมรับว่าพรรคประชาธิปัตย์สามารถใช้เงินในบัญชีเลือกตั้งของพรรค ที่มีเงินอยู่แล้วในบัญชีเดิม 10-20 ล้านบาท โดยสามารถจ่ายเป็นค่าทำป้ายหาเสียงไปก่อนได้ ซึ่งพรรคจะนำประเด็นดังกล่าวสู้คดี ส่วนที่มีการวิจารณ์การต่อสู้คดีของพรรคไม่ยอมลงเนื้อหาคดี แต่กลับมุ่งโจมตีพยานนั้น ขอชี้แจงว่า พรรคได้แก้ข้อกล่าวหาเป็นเอกสารส่งไปยังศาลเป็นปึกๆ อยู่ที่ศาลจะพิจารณา ดังนั้นการเน้นการทำลายตัวพยาน ก็เพราะมีโอกาสได้ซักค้านพยานเพียงเล็กน้อย
จากคำให้สัมภาษณ์ของนายจตุพร พรมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ที่ระบุไม่มีใครสามารรถทำลายศาลรัฐธรรมนูญได้นั้น
แต่ผมเห็นว่าที่ผ่านมามีกระบวนการใส่ร้ายศาลรัฐธรรมนูญให้เสียหาย จนมีการฟ้องร้อง ทำให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ฟ้องต้องถอนตัวออกมาฟ้องแล้วถึง 2 คน ถือว่านายจตุพรทำสำเร็จแล้ว แล้วยังให้สัมภาษณ์อีกว่า ยังรออีก 1 จึงอาจรอให้มีใครใส่ร้ายตุลาการเพิ่มอีก เพื่อให้มีการฟ้องและมีการถอนตัวในที่สุด ถือเป็นกระบวนการทำงานกระบวนการยุติธรรม เป็นการยอมเอาเบี้ยแลกขุน แต่เชื่อว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะรู้ทันหรืออาจรออะไรอยู่ นายวิรัตน์กล่าว