ปทีปแฉถูกแทรกโผแต่งตั้งตำรวจ2พันนาย

 

คมชัดลึก : "ปทีป" เปิดความในใจก่อนเกษียณ แฉที่ผ่านมาถูกแทรกโผแต่งตั้ง 2,000 นาย สั่งเน้นยึดระบบป้องกัน จวกนายบางคนเฮงซวยด้วยซ้ำไป ระบุถูกหาว่าย้ายไม่เป็นธรรม ลั่นถึงติดคุกก็ยอม เพราะมั่นใจว่าทำถูก ทุกวันนี้ถูกการเมืองชกช้ำไปหมด ยังไม่หาย ต้องรอพ้น 30 กันยาไปแล้ว พร้อมแบไต๋ ดัน "พล.ต.ท.พีระ" ขึ้นผู้ช่วย ผบ.ตร.แน่ รักษาการ ผบ.ตร.

พร้อมด้วย พล.ต.ท.ประชิน วารี รองจเรตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ประยูร อมฤต ผู้บัญชาการสำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เดินทางไปตรวจเยี่ยมนายตำรวจระดับหัวหน้าปฏิบัติการของตำรวจภูธรภาค 9 และศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประมาณ 300 นาย ก่อนที่จะเกษียณราชการในปลายเดือนกันยายนนี้


ทั้งนี้ เพื่อให้กำลังใจและมอบนโยบายแนวทางปฏิบัติในการแก้ปัญหาขององค์กรตำรวจ และการเตรียมการของการเป็นตำรวจในอนาคต


โดยมี พล.ต.ท.วีรยุทธ สิทธิมาลิก ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 และ พล.ต.ท.พีระ พุ่มพิเชฏฐ์ ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจชายแดนภาคใต้ (ศชต.) สรุปสถานการณ์การปฏิบัติงานของทั้งสองหน่วยงานให้รับทราบ
พล.ต.อ.ปทีป กล่าวความในใจต่อนายตำรวจที่เข้าร่วมประชุมถึงเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองช่วงเดือนเมษายน ที่ผ่านมาว่า ขอบคุณกำลังตำรวจจากภาค 9 ที่หมุนเวียนกันไปสนับสนุน ส่วน ศชต.นั้น เข้าใจ เพราะต้องดูแลพื้นที่กัน ทั้งนี้ ในเหตุการณ์เมษายนที่ผ่านมา ตำรวจวางบทบาทตัวเองดีที่สุดแล้ว เพราะหลังจากเหตุการณ์ยุติ ตำรวจยังไปกินข้าวในตลาดได้ กินข้าวกับสีอะไรก็ได้ ตำรวจทำดีมากแล้ว

ส่วนข้อที่ถูกตำหนิคือ 1.ถูกหาว่าเป็นตำรวจมะเขือเทศ ในข้อนี้ตนรู้สึกเฉยๆ แล้วแต่ใครจะคิด เพราะตำรวจไม่มีสี มีสีเดียวคือสีกากี และ 2.ถูกตำหนิว่าใช้กฎหมายไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งถูกต่อว่าทำไมไม่จับกุมทั้งที่เป็นความผิดซึ่งหน้า ทั้งๆ ที่พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็ประกาศออกมาแล้ว ซึ่งตนพิจารณาแล้วว่า ไม่จำเป็นต้องกระทำในตอนนั้น เพราะจะมีผลตามมามากมาย ถึงไม่จับตอนนั้นไม่เป็นไร แต่ความผิดยังอยู่ ยังมีระยะเวลา จึงไม่จำเป็นต้องจับในขณะนั้น พอเหตุการณ์ยุติตำรวจก็บังคับใช้กฎหมายภายหลังได้ ซึ่งมีการติดตามจับกุมมาได้ประมาณ 400 คนแล้ว โดยอาจจะไม่ถูกใจกลุ่มคนบางกลุ่ม แต่สำหรับตนมั่นใจว่าตัดสินใจถูกต้องแล้ว


พล.ต.อ.ปทีปกล่าวถึงปัญหาขององค์กรตำรวจที่สำคัญคือ ปัญหาการแต่งตั้ง ว่าถูกแทรกแซงจากบุคคลภายนอกมากมาย

เมื่อการแต่งตั้งคราวที่แล้ว ระดับรองผู้บังคับการ-สารวัตร มีถึง 2,000 ราย ที่มีคนมาฝาก ถือว่าเยอะมาก จึงทำให้เกิดปัญหาตามมาคือ “คนทำงานไม่ได้โต คนโตไม่ได้ทำงาน” การแก้ปัญหาก็คือ ตนไม่ยอม ระดับผู้บัญชาการไม่ยอม ซึ่งตนมีแนวคิดที่แก้ไขและได้เริ่มกระทำแล้ว คือ 1.เรื่องของอาวุโส 25 เปอร์เซ็นต์ ต้องยึดเอาไว้  2.เรื่องของโรงพักดีเด่น ที่เดิมมี 4 ก็ขอเพิ่มเป็น 12 เปอร์เซ็นต์ เมื่อรวมกับของอาวุโสก็จะเป็น 37 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือ 63 เปอร์เซ็นต์ ก็จะเป็นเรื่องของดุลพินิจ และ 3.การแต่งครั้งสุดท้าย 2 ปี ไม่ครบไม่ให้ย้าย แต่ที่ผ่านมาอุตลุดไปหมด ขอมาเป็นพันราย ก็จัดให้ไปได้ประมาณ 100 ราย ซึ่งการแต่งตั้งในอนาคตจะต้องยึดทั้ง 3 ข้อไว้ เพื่อป้องกันการแทรกแซงจากองค์กรข้างนอกที่เยอะมาก


"ทั้งหมดนี้ผมเห็นว่าดี แต่ไม่ค่อยมีใครกล้าค้านในเรื่องนี้ เพราะคนที่ออกมาค้านมักจะเจ็บตัว ขณะเดียวกัน พวกที่แตะเส้นก็ฤทธิ์เยอะ ต่อไปพวกที่แตะเส้นจะต้องมีผลงานแตะต้องได้ พวกนักวิ่งทั้งหลายให้จำไว้ ซึ่งข้อเสียของการยึดอาวุโสก็มีข้อเสียคือ คนที่อาวุโสกว่าผมก็อาจเป็นแค่คนที่เกิดก่อนเท่านั้น แต่ไม่มีความรู้ความสามารถ นายบางคนเฮงซวยด้วยซ้ำไป" พล.ต.อ.ปทีป กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


พล.ต.อ.ปทีป กล่าวอีกว่า บางกองบัญชาการ ที่รองผู้บัญชาการบ่นว่าผู้บัญชาการเผด็จการ ก็บอกไปว่า

ถ้าเห็นว่าเผด็จการก็อย่าไปเซ็นรับรองคำสั่ง หรือควรที่จะไปพูดคุยกันแบบพี่แบบน้องได้หรือไม่ ส่วนตนที่ผ่านมาก็พยายามทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่ถูกข้อหาโยกย้ายไม่เป็นธรรม ถ้าจะติดคุกก็ติดไป ก็อยากให้สังคมรับรู้ความจริงว่า ตนทำสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าจะติดคุกก็ยอมปลดเกษียณแล้วอยู่ในคุกก็ดี จะได้ไม่เหงา แต่ในการแต่งตั้งครั้งหน้า ต้องเอาระบบมาป้องกัน ได้ 37 เปอร์เซ็นต์ อาจจะป้องกันไม่หมด แต่ดีกว่าไม่ทำ หากในอนาคตการแทรกแซงน้อยลง ค่อยปรับเปลี่ยนใหม่ได้ เพราะไม่มีองค์กรใดที่มีการแต่งตั้งได้ถูกต้อง 100 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นต้องฝากให้ทุกคนช่วยกันคิด


ทั้งนี้ พล.ต.อ.ปทีป ยังหันไปกล่าวฝาก พล.ต.ท.พีระ พุ่มพิเชฏฐ์ ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจชายแดนภาคใต้ ที่นั่งอยู่ด้วยว่า พล.ต.ท.พีระจะต้องขึ้นไปเป็นผู้บริหารในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเที่ยวนี้ ซึ่งตนยืนยันได้ ให้ช่วยคิดด้วย เพราะที่ผ่านมาคิดจนถูกชกช้ำไปหมดแล้ว ตอนนี้ก็ยังช้ำอยู่ ยังไม่หาย จะหายคงจะเป็นพ้น 30 กันยายนนี้ไปแล้ว


เรื่องสำคัญอีกเรื่องที่ พล.ต.อ.ปทีปเป็นห่วงคือ เรื่องของกำลังพล


เพราะเมื่อ 10 ปีที่แล้วกำลังพลตำรวจมีประมาณ 2.7 แสนคน ขณะนี้เหลือประมาณ 2 แสนคน และอีกไม่นานก็จะเหลือประมาณ 1.8 แสนคน เป็นเพราะรัฐบาลวางแผนไว้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว หวังจะลดงบประมาณรายจ่ายในส่วนของเงินเดือนราชการ จึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมกำลังพลถึงขาดแคลน เมื่อก่อนเคยผลิตกำลังพลปีละ 1 หมื่นนาย แต่ตอนนี้เหลือปีละ 1,500 นาย ในอนาคตก็จะต้องลดอีก เพราะรัฐบาลต้องการงบในการพัฒนาประเทศเพิ่ม


ส่วนแนวทางการแก้ปัญหาเรื่องกำลังพลนั้น พล.ต.อ.ปทีป กล่าวว่า การติดตั้งกล้องซีซีทีวีแทนกำลังพล เพราะเป็นหูเป็นตาแทนตำรวจได้

เคยต่อรองกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว แต่ไม่สำเร็จ ดังนั้นกล้องซีซีทีวีในส่วนของตำรวจจึงมีน้อย และที่เจ็บปวดที่สุดคือ กล้องซีซีทีวีในส่วนของ กทม.เสียถึง 80 เปอร์เซ็นต์ กล้องที่ดีๆ ในช่วงเกิดเหตุก็มาเสียอีก แต่พอหลังเกิดเหตุกลับใช้ได้ดี ที่จับโจรได้ขณะนี้เป็นกล้องของชาวบ้านทั้งนั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ็บปวด ทางแก้อีกทางหนึ่งคือ เรื่องของอาสาสมัครชาวบ้าน แต่มีปัญหาคือ ถ้าใช้มากก็มีปัญหามาก คือจะไปเป็นตำรวจเสียเอง ดังนั้นเมื่อออกปฏิบัติงานจะต้องมีตำรวจอยู่ด้วย 1 คน และต้องทำเรื่องของบประมาณเพิ่มไปยังหน่วยงานหลายๆ หน่วยงาน เพื่อเอามาจ่ายให้แก่อาสาสมัคร ที่ถือว่าเป็นประชาชน เพราะอาจจะได้งบประมาณมาช่วยในส่วนนี้


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจาก พล.ต.อ.ปทีปกล่าวจบแล้ว พล.ต.ท.วีรยุทธ และ พล.ต.ท.พีระ ได้มอบของที่ระลึกให้แก่ พล.ต.อ.ปทีป และ พล.ต.อ.ปทีปก็มอบของที่ระลึกให้แก่ทั้งสองเช่นกัน

จากนั้น พล.ต.อ.ปทีปได้เดินทักทายนายตำรวจที่มาร่วมรับฟัง และรับประทานอาหารเที่ยงร่วมกัน กระทั่งเวลาประมาณ 13.00 น. พล.ต.อ.ปทีป พร้อมกับคณะ ได้เดินทางไปเยี่ยมปลอบขวัญและให้กำลังใจ พ.ต.ท.สมใจ เหมืองมิ้นท์ สวป.สภ.ระแงะ และ ส.ต.ท.พิเชษฐ์ ทิพย์วารี พลขับ ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุระเบิดที่หน้า หจก.ตันหยงมัส ออยล์ ต.ตันหยงมัส อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เมื่อเช้าวันที่ 12 สิงหาคม ที่ผ่านมา ก่อนจะเดินทางไปยังสนามบินหาดใหญ่เพื่อเดินทางกลับ


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์