นายกฯ แจงกลางสภา ระบุกู้เงินเพื่อสร้างเสถียรภาพเศรษฐกิจ โชว์ตัวเลขแก้หนี้นอกระบบดีกว่า “ทักษิณ”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 นั้น
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงถึง การแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลตอนหนึ่ง ว่า 1 ปีที่ผ่านมา มั่นใจว่ารัฐบาลชุดนี้สามารถเข้าแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำของโลกได้อย่างดี ในปีนี้มั่นใจว่าเศรษฐกิจของไทยจะขยายตัวถึง 10% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงประเทศหนึ่งของโลก อันมีผลมาจากดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจหลายตัวมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เช่น การส่งออก การท่องเที่ยว ส่วนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการก่อหนี้ของรัฐบาล ยืนยันเป็นความจำเป็นที่ต้องดำเนินการ เพื่อมากระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเงินดังกล่าวก็นำมาลงทุนในการก่อสร้างสาธารณูปโภคที่สำคัญให้ประชาชน
“ภายหลังจากที่มีการกู้เงินนำมาลงทุนแล้ว ก็ได้ผลเป็นอย่างดี จนสามารถลดภาระการกู้เงินเพิ่มเติมได้ถึง 50% ถ้าจะมากล่าวหาว่า รัฐบาลชุดนี้กู้เงินแล้วไม่มีประสิทธิภาพ หรือมากเกินไป ส่วนรัฐบาลนี้กู้เงินแค่เพียงครึ่งเดียวจากที่ประมาณไว้เดิม นายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ก็กู้ 7 แสนล้าน ก็ทำเหมือนกัน ซึ่งก็ทำได้ หากมันจำเป็น ทั้งหมดนี้ควรอยู่ที่ข้อเท็จจริง แล้วที่บอกว่าตอนนี้รัฐบาลจะทำรัฐสวัสดิการ มันไม่ใช่ แต่ตนใช้คำว่ารัฐจะทำสวัสดิการให้กับประชาชน ที่พยายามดูหมิ่นดูแคลนแก้ไขปัญหาท่านพูดอย่างนี้มาปีครึ่งแล้ว แล้วไม่ใช่ข้อเท็จจริง สำหรับภาระหนี้สาธารณะรัฐบาลมั่นใจว่า จะสามารถบริหารไม่ให้หนี้สาธารณะสูงถึง 60% ต่อจีดีพี ซึ่งเชื่อว่าจะไม่มีทางถึงอย่างแน่นอน และคิดว่าภายใน 5 ปี ประเทศไทยจะสามารถดำเนินการจัดทำงบประมาณแบบสมดุลได้” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ส่วนเรื่องการแก้ไขหนี้นอกระบบให้กับประชาชน
รัฐบาลชุดนี้คิดว่าจะช่วยแบ่งเบาภาระของประชาชนได้ในระดับหนึ่ง และไม่ได้เป็นลอกเลียนแบบนโยบายของพรรคไทยรักไทย ตามที่ฝ่ายค้านกล่าวหา เพราะหากเป็นการลอกเลียนจริงทำไมประสิทธิภาพของรัฐบาลชุดนี้ถึงดีกว่า เนื่องจากพบว่าภายหลังจากที่มีการเปิดโอกาสให้ประชาชนมาลงทะเบียนกับรัฐบาลแล้วจำนวน 1.2 ล้านคน สามารถเข้าไปแก้ไขปัญหาได้แล้ว 4 แสนคน และคาดว่า จะเพิ่มขึ้นเป็น 8 แสนคน เทียบกับรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ มีการลงทะเบียน 1.7 ล้านคน แต่แก้ปัญหาได้เพียง 8 หมื่นคน
ด้าน นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2554
ชี้แจงว่า การเบิกจ่ายงบประมาณในโครงการไทยเข้มแข็ง มีการเบิกจ่ายไปแล้ว 2 แสนล้านบาท ไม่ใช่ 2.6 หมื่นล้านบาท ที่ฝ่ายค้านกล่าวหา เพราะตัวเลข 2.6 หมื่นล้านบาท เป็นตัวเลขของการโครงการที่มีการดำเนินการเสร็จสมบูรณ์แล้ว ส่วนตัวเลข 2 แสนล้านบาท เป็นตัวการเบิกจ่ายงบประมาณที่อยู่ในระหว่างการดำเนินโครงการ เช่นเดียวกับการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2553 ก็มีการเบิกจ่ายไปแล้ว 82% ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก
“ปัญหาหนี้สาธารณะต่อจีดีพีล่าสุดพบว่า อยู่ที่ 42% เท่านั้น ถือว่าน้อยมากถ้าเทียบกับประเทศอื่น ๆ ซึ่งในกรณีของไทยเมื่อมีการกู้เงินมาลงทุนแล้ว ก็ทำให้หนี้สาธารณะลดลงอย่าง ต่อเนื่อง เพราะเงินดังกล่าวเข้าไปกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนเรื่องการแก้หนี้นอกระบบนั้น เป็นความต้องการของรัฐบาลที่ต้องการให้หนี้นอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบ เพราะการทำแบบนี้จะช่วยให้ประชาชนมีเงินเพิ่มมากขึ้น จากที่ไม่ต้องรับภาระดอกเบี้ยเงินกู้นอกระบบที่สูงมากขึ้นต่อไป ซึ่งคาดว่า มีถึง 4 หมื่นล้านบาท” นายกรณ์ กล่าว.