วันนี้ (10 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายฉัตรทิพย์ ตัณฑประศาสน์ ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ซึ่งรับผิดชอบต่อสู้คดียึดทรัพย์จำนวน 46 , 373 , 687 , 454.70 บาท กล่าวถึงกรณีที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา จะลงมติว่ารับหรือไม่รับอุทธรณ์ในวันที่ 11 ส.ค. เวลา 09.30 น. ว่า คู่ความไม่ได้รับแจ้งเรื่องนี้ เพราะกระบวนขณะนี้เป็นเรื่องภายในของศาล แต่ถ้าที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีมติออกมาอย่างไรแล้ว เชื่อว่าจะแจ้งผลให้คู่ความทราบ ส่วนทีมทนายความเวลานี้ไม่ได้เตรียมพร้อมอะไร เพราะทำได้เพียงแต่รอฟังคำสั่งว่าจะรับอุทธรณ์หรือไม่ หากรับจะดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป โดยต้องดูว่าถ้าที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจะรับอุทธรณ์แล้วชี้ว่าพยานหลักฐานส่วนใดบ้างที่เรายื่นไปแล้วศาลรับฟังว่าเป็นพยานหลักฐานใหม่ตามหลักเกณฑ์กฎหมาย
นายฉัตรทิพย์ กล่าวอีกว่า สำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว ก็ไม่ได้แจ้งอะไรกับทนายความเรื่องคดี
เพราะรู้ว่าขั้นตอนเป็นอย่างไร หากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาไม่รับอุทธรณ์ กระบวนการพิจารณาทางศาลถือว่าต้องยุติ ดังนั้นเวลานี้ต้องรอฟังคำสั่งศาลเพียงอย่างเดียว และไม่ได้คาดหวังผลว่าจะออกมาเช่นไร เพราะถือเป็นดุลยพินิจของศาล ส่วนการบังคับคดีตามคำสั่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น ที่ผ่านมากระทรวงการคลังดำเนินการไปแล้ว ขณะที่บัญชีเงินฝากซึ่งนอกเหนือจากการบังคับคดีก็ถูกแช่แข็งรอกรมสอบสวนคดีพิเศษ ( ดีเอสไอ) ตรวจสอบตามคำสั่งของ ศอฉ.
นายนันทศักดิ์ พูลสุข อธิบดีอัยการช่วยเหลือและให้คำปรึกษาทางกฎหมายแก่ประชาชน หนึ่งในคณะทำงานอัยการคดียึดทรัพย์ กล่าวว่า
ต้องรอฟังผลที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าจะลงมติอย่างไร หากจะมีคำสั่งรับอุทธรณ์ อัยการก็จะตรวจสอบประเด็นว่าอะไรบ้างที่ชี้ว่าเป็นพยานหลักฐานใหม่ เพื่อเตรียมประเด็นต่อสู้ อย่างไรก็ดีในการยื่นคำคัดค้านอุทธรณ์อัยการ ระบุชัดเจนว่าประเด็นที่ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว ยกขึ้นมาอ้างนั้น ไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการลงมติที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าจะรับอุทธรณ์หรือไม่ จะยึดถือเสียงข้างมากในการลงมติ
หากที่ประชุมใหญ่ลงมติไม่รับอุทธรณ์ ถือเป็นการสิ้นสุดกระบวนการ คดีเป็นอันยุติ แต่ถ้ามีมติให้รับอุทธรณ์ไว้พิจารณา ตามระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์การอุทธรณ์คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในกรณีมีพยานหลักฐานใหม่ซึ่งอาจทำให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ พ.ศ.2551 ผู้พิพากษาทั้ง 5 คนที่เป็นองค์คณะพิจารณาอุทธรณ์ จะทำหน้าที่เป็นองค์คณะไต่สวน รวบรวมข้อเท็จจริงเสนอต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเพื่อพิจารณาและวินิจฉัยเพื่อมีคำพิพากษาอุทธรณ์ต่อไป
สำหรับคดีนี้ ศาลฎีกา มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ก.พ.53ให้ทรัพย์สินซึ่งเป็นเงินจากการขายหุ้น บ.ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และเงินปันผล จำนวน 46 , 373 , 687 , 454.70 บาท ในชื่อบัญชีของ พ.ต.ท.ทักษิณ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร์ นายพานทองแท้ น.ส.แพทองธาร น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ตกเป็นของแผ่นดิน