(24มิ.ย.)นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ซึ่งอยู่ระหว่างเดินทางเยือนยุโรปอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 21-26 มิถุนายน ได้กล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อ "ประเทศไทยหลังวิกฤต : ความท้าทายทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ" ซึ่งจัดขึ้นที่ศูนย์นโยบายยุโรป(อีพีซี) กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย โดยมีผู้เข้าร่วมรับฟังเป็นจำนวนมาก อาทิ คณะกรรมาธิการยุโรป ผู้แทนสถานทูตต่างๆ เอ็นจีโอ นักวิชาการ และสื่อมวลชนต่างประเทศ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในรายชื่อผู้ลงทะเบียนร่วมรับฟังการกล่าวสุนทรพจน์ครั้งนี้ มีชื่อของนายโรเบริ์ต อัมสเตอร์ดัม จากบริษัทอัมสเตอร์ดัมแอนด์เพอรอฟ ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อยู่ด้วย แต่ตัวนายอัมสเตอร์ดัมไม่ได้เดินทางมาเข้าใจว่ามีเพียงการส่งผู้แทนมาร่วมฟังเท่านั้น
นายกษิต กล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับพัฒนาการการเมืองไทยตั้งแต่อดีต
ส่วนสถานการณ์การเมืองไทยล่าสุดนั้นเขาระบุว่า ขณะนี้คลี่คลายลงแล้วและเข้าสู่ขั้นตอนบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำความผิด ขณะเดียวกันรัฐบาลก็กำลังเดินหน้าแผนปรองดองที่ดึงทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม ส่วนเหตุที่มีผู้เสียชีวิตก็มีองค์กรเข้ามาตรวจสอบ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายโดยไม่เลือกปฏิบัติ ทั้งนี้หลังคณะกรรมการชุดต่างๆทำงานไปตามขั้นตอน เชื่อว่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่ได้ภายในไม่เกินกลางปีหน้า
ภายหลังได้เปิดโอกาสให้สื่อต่างชาติสอบถาม
โดยสื่อได้สอบถามกรณีที่หากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะมีหลักประกันใด ที่ชัดว่าจะไม่มีการรัฐประหารเกิดขึ้นอีก นายกษิตกล่าวว่า เนื่องจากไม่มีการเขียนไว้ในมาตราใดของรัฐธรรมนูญว่าห้ามทหารปฏิวัติ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะไม่ให้เกิดการรัฐประหารคือการบริหารงานที่ดีของรัฐบาลพลเรือนที่ต้องไม่เปิดโอกาสหรือสร้างเหตุผลให้เกิดการปฏิวัติ ดังนั้นหากบริหารงานที่ดี ไม่ทุจริตคอรัปชั่น อยู่ในหลักธรรมมาภิบาล ย่อมไม่มีเหตุผลให้เกิดการปฏิวัติเกิดขึ้นได้
นอกจากนี้ยังมีคำถามว่าเหตุใดรัฐบาลจึงต้องการปฏิรูปสื่อ นายกษิตกล่าวยืนยันว่า รัฐบาลไม่ได้ปิดกั้นสื่อ แนวทางของคณะกรรมการปฏิรูปเป็นความพยามพูดคุยกันหลายฝ่ายเพื่อให้เกิดความสมดุลในบทบาทและความรับผิดชอบของสื่อ เพราะที่ผ่านมาสื่อบางสื่อถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองนำมาซึ่งความแตกแยก