มาร์คแจงข้อหาเป็นผู้นำยุคคนตายมากที่สุด

ชี้ไม่อยากให้เกิด เปรียบยังแพ้ยุค "แม้ว" ทั้งกรือเซะ-ตากใบ-ฆ่าตัดตอน ละเมิดสิทธิเพียบ

วันนี้ ( 1 มิ.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวชี้แจงว่า แม้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯจะได้ชี้แจงไปแล้ว

แต่ตนจำเป็นต้องชี้แจงภาพรวมถึงสภาพปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โดยจำเป็นต้องใช้ภาพนิ่งและเคลื่อนไหว ข้อกล่าวหาที่กล่าวหาตน นายสุเทพ บางครั้งก็กล่าวหาไปถึง ครม. กองทัพ เป็นข้อหาเกินเลยและร้ายแรงมาก หากเป็นจริง แน่นอนพวกตนไม่ควรยืนอยู่ตรงนี้ การกล่าวอ้างสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับแนวคิด การทำงานการเมือง ที่เกี่ยวกับประชาชน ตนถือว่าสำคัญมากสำหรับนักการเมืองในวิถีทางประชาธิปไตย ตนขอยืนยันว่าตลอดระยะเวลาการทำงานการเมืองที่ผ่านมา หลายเดือนที่ผ่านมา เป็นช่วงยากลำบากที่สุด ตนตระหนักเสมอว่าสิ่งสำคัญคือรักษาหลักการบ้านเมือง ชีวิตประชาชนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
    
นายกอภิสิทธิ์ ยังกล่าวว่า สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นหากมาตัดตอนที่เหตุการณ์ตอนใด ตอนหนึ่งอาจจะมองไม่เห็นภาพ

บางครั้งมีการพูดเฉพาะกรณี 10 เม.ย. หรือ 19 พ.ค. เมื่อรัฐบาลมาบริหารบ้านเมืองไม่ใช่จุดเริ่มต้นความขัดแย้ง แต่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ อยู่ที่มุมมองแต่ละฝ่ายว่าจะมองว่าเริ่มต้นจุดใด บางฝ่ายก็ขุ่นข้องหมองใจกับเหตุการณ์ 19 ก.ย.49  ที่มีการปฏิวัติรัฐประหาร แต่บางฝ่ายก็มองว่าความขัดแย้งทางการเมืองเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นที่มีการละเมิดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญปี 40 หลายเรื่อง โดยเฉพาะละเมิดสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพในหลายกรณี
    
“มีการกล่าวหาว่าผมเป็นผู้นำยุคที่มีคนเสียชีวิตมากที่สุด ผมเชื่อว่าไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่ละยุคก็มีปัญหาทำนองนี้ เช่น  เหตุการณ์ที่ตากใบ กรือเซะ ถามว่าเป็นการปฏิบัติการของรัฐบาลโดยตรงหรือไม่ ประชาชนเสียชีวิตหรือไม่ ไม่นับอีกเป็นพันศพจากนโยบายฆ่าตัดตอน ทั้งหมดจะผิดจะถูกต้องมีการพิสูจน์กัน แต่เมื่อมีการเปรียบเทียบเหตุการณ์ชุมนุมกับเหตุการณ์ในอดีต หากรัฐมีเจตนาใช้กำลังเอาชนะคะคานทางการเมือง สามารถปราบประชาชนนำไปสู่ความสงบเป็นไปไม่ได้ ผมทราบและตระหนักดี” นายกฯ กล่าวและว่าหากเหตุการณ์เดือน เม.ย. ไม่มีกองกำลังติดอาวุธ เชื่อว่าจะไม่มีการสูญเสีย ไม่มีคนเสียชีวิต ตนพยายามไม่ให้เกิดเหตุการณ์เผชิญหน้าในหลายครั้ง.