แฉ ทักษิณ ตั้งวินมาร์คซุกกำไรเงินบาทลอยตัวสมัย บิ๊กจิ๋ว
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 9 มีนาคม 2549 15:55 น.
กรณ์ แฉ บ.วินมาร์ค เป็นแค่กองทุนส่วนตัวของ ทักษิณ ที่ใช้เป็นแหล่งซุกเงินของกำไรสมัยลอยตัวค่าเงินบาท รัฐบาลบิ๊กจิ๋ว คาดแกล้งโอนขายหุ้นเพื่อนำเงินกลับเข้ามาใช้ในการเลือกตั้งปี 2544 เรียกร้อง ปปง.ตามตรวจสอบ
วันนี้ (9 มี.ค.) นายกรณ์ จาติกวณิช รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการติดตามตรวจสอบเรื่องการซื้อขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น ว่า ประเด็นสำคัญที่ยังคงไม่ได้รับคำตอบ คือกรณีการโอนหุ้นบริษัทในเครือชินวัตรให้แก่บริษัท วินมาร์ค ที่ตั้งขึ้นที่เกาะบริติช เวอร์จิน โดยอ้างว่าเป็นการซื้อขายหุ้นปกติ ไม่ได้ฟอกเงิน ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าบริษัทดังกล่าวเป็นของกลุ่มทักษิณอย่างแน่นอน โดยมีหลักฐานยืนยันในหลายกรณี
ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมคุณทักษิณถึงไม่เคยปริปากเรื่องวินมาร์คเลย ทั้งที่เป็นเรื่องที่ควรจะต้องให้คำตอบว่าความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวชินวัตร กับบริษัท วินมาร์ค มีความสัมพันธ์กันอย่างไร เพราะท่านอ้างมาตลอดว่าไม่เกี่ยวข้องกันเลย แต่กลับมีการโอนหุ้นกันไปมา นายกรณ์ กล่าว
นายกรณ์ กล่าวอีกว่า นอกจากวินมาร์คจะซื้อหุ้นชินคอร์ปแล้ว ยังได้มีการรับโอนหุ้นบริษัทในเครือทั้งหมด 5 บริษัท ไม่ใช่แค่ 3 บริษัทตามที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย เคยอ้าง และมูลค่าของหุ้นที่มีการโอนซื้อขายกันที่ราคาพาร์ทั้งหมดนั้น ก็มีมูลค่าสูงถึง 1,493.6 ล้านบาท ไม่ใช่แค่ 900 ล้านบาทเท่านั้น
ทั้งนี้ นายกรณ์ได้อ้างถึงเอกสารทะเบียนหุ้นของ 5 บริษัท ซึ่งพบว่ามีการโอนหุ้นเมื่อวันที่ 1 ส.ค.2543 ได้แก่ หุ้น บจก.OAI Property มูลค่ากว่า 550 ล้านบาท, บจก. PT คอร์ปอเรชั่น มูลค่า 299.9 ล้านบาท, เอสซีเค เอสเตท มูลค่า 55.4 ล้านบาท, เอสซี ออฟฟิศ พาร์ค มูลค่า 464.9 ล้านบาท และ บจก.เวิร์ธ ซัพพลายส์ มูลค่า 122.4 ล้านบาท รวมเป็นมูลค่าทั้งหมด 1,493.6 ล้านบาท
นายกรณ์ กล่าวว่า จากข้อมูลทั้งหมดพบว่า วินมาร์คมีความเกี่ยวพันกับครอบครัวชินวัตรอย่างชัดเจน มีการโอนหุ้นให้กันไปมาและคำถามสำคัญที่ต้องการคำตอบ คือ เงินจำนวนเกือบ 1,500 ล้านบาท ที่ใช้ซื้อขายหุ้นนั้นไปอยู่กับบริษัท วินมาร์ค ได้อย่างไร
บริษัท วินมาร์ค มีพฤติกรรมเหมือนกองทุนส่วนตัวของทักษิณ จึงทำให้สงสัยว่าเป็นขุมทรัพย์ที่ซ่อนในต่างประเทศ อันได้มาจากการกระทำความผิดที่ไม่ต้องการเปิดเผยใช่หรือไม่ หุ้นที่โอนไปให้วินมาร์คก็เป็นหุ้นเน่าๆ เอาเข้าตลาดขายได้แค่บริษัทเดียว เมื่อโอนหุ้นไปให้แล้วก็มีการนำเงิน (ที่ได้จากการขาย) เข้ามาในช่วงเดือนสิงหาคม 2543 ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนมกราคม 2544 เพียงไม่กี่เดือน ซึ่งจะเป็นการนำเงินในบัญชีต่างประเทศเข้ามาแล้ว ฟอก โดยการขายหุ้นเพื่อนำมาใช้ในธุรกรรมบางอย่างหรือไม่
คำถามคือเงิน (ของวินมาร์ค) ไปอยู่ต่างประเทศได้ยังไง หรือจะเกี่ยวกับที่คุณเสนาะพูดเรื่องที่มีการทำกำไรจากการลอยตัวค่าเงินบาทหรือไม่ นายกรณ์ กล่าว
นายกรณ์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่า ในการลอยตัวค่าเงินบาทในปี 2540 ที่ผ่านมา ในส่วนของภาคธุรกิจนั้นมีบริษัทเพียงกลุ่มเดียวที่รอดพ้นจากพิษภัยของการลอยตัวค่าเงินบาท ซึ่งก็คือ บริษัทในเครือชินวัตรนั่นเอง ซึ่งหากการรอดพ้นวิกฤตดังกล่าว เป็นไปเพราะการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นอัจฉริยะวิเคราะห์สถานการณ์ได้เอง ไม่มีใครในรัฐบาลมาบอกข้อมูลล่วงหน้า ทำให้บริษัทพ้นวิกฤตก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ถ้าหากใช้ความเป็นอัจฉริยะนั้น ทำกำไรเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ในขณะที่คนไทยทั้งประเทศต้องเผชิญกับภาวะวิกฤต ก็คงเป็นเรื่องที่คนไทยรับกันไม่ได้
ถ้านายกฯทิ้งปัญหาเรื่องนี้ไว้ให้เคลือบแคลง ไม่ว่าจะชนะเลือกตั้งกี่คะแนนก็คงไม่มีความชอบธรรมที่จะดำรงตำแหน่งนายกฯ เพราะการทำกำไรในช่วงลอยตัวค่าเงินบาทนั้นเป็นเรื่องพฤติกรรมโดยมิชอบสำหรับคนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี นายกรณ์ กล่าว
ทั้งนี้ นายเสนาะ เทียนทอง ได้เคยปราศรัยที่สนามหลวงในวันที่ 27 ก.พ.ที่ผ่านมาว่า ในช่วงที่เกิดวิกฤตค่าเงินในรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในขณะนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ส่งคนเข้ามาทำงานเพื่อลอยค่าเงินบาท โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ได้พบนายกฯ แล้วเสนอให้ตั้งนายทนง (พิทยะ) คนของนายกฯ ทักษิณ เป็นรัฐมนตรีคลัง เพื่อลอยตัวค่าเงินบาท พอทำเสร็จก็ลาออก ทำให้ตัวเองรวยอยู่คนเดียว คนอื่นต้องลำบากเป็นเอ็นพีแอลทั่วทั้งประเทศ
ผมจึงขอเรียกร้องให้ ปปง.ตรวจสอบเส้นทางการเงินและที่มาของแหล่งเงินของวินมาร์ค (ที่นำมาซื้อหุ้น) และก่อนหน้านี้ ในปี 2543 นายกฯก็เคยท้าทายว่าพร้อมจะให้ ปปง.ตรวจสอบการขายหุ้นให้บริษัท วินมาร์ค โดยยืนยันว่าไม่ได้ฟอกเงิน แต่เนื่องจากการซื้อขายดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งเพียงไม่กี่เดือน และเส้นทางการซื้อขายก็มีความซับซ้อน ฉ้อฉล ปกปิดข้อเท็จจริงมาโดยตลอด จึงอยากให้ ปปง.เข้าไปตรวจสอบโดยละเอียด นายกรณ์ กล่าว