มาร์คย้ายนอนบ้าน-รปภ.เข้มสุด

ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม

ภายหลังเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองเริ่มกลับคืนสู่ภาวะปกติ นายอภิสิทธิ์ได้กลับไปพักค้างแรมที่บ้านพักในซอยสวัสดี ถนนสุขุมวิท 31 เมื่อคืนวันที่ 23 พฤษภาคม ท่ามกลางมาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุด โดยมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สน. ทองหล่อ เจ้าหน้าที่สารวัตรทหาร และหน่วยอรินทราช สนธิกำลังกันอารักขาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง


จากนั้นในเวลา 09.30 น. นายอภิสิทธิ์ได้เดินมายังศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อเป็นประธานเปิดงานสัมมนาสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค ครั้งที่ 2

จัดโดยกรมสรรพากร เพื่อพบปะกับนักลงทุนและผู้ประกอบการทั้งชาวไทยและต่างชาติประมาณ 200 คน สำหรับขบวนรถนายกฯ มีทั้งสิ้น 12 คัน ประกอบด้วย รถจักรยานยนต์นำขบวนของสารวัตรทหาร (สห.ทบ.) 1 คัน รถจักรยานยนต์นำขบวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 คัน ตามมาด้วยรถเก๋งของเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม 1 คัน รถเก๋งของชุดรักษาความปลอดภัย (รปภ.) จากกองพันสารวัตรทหารที่ 11 รถประจำตำแหน่งของนายกฯ ซึ่งเป็นรถเบนซ์กันกระสุน ทะเบียน ษห 3834 รถโตโยต้าพราโด้ของรปภ. จากกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ร. 21 รอ.) รถโตโยต้าพราด้าของรปภ. จากหน่วยบัญชาการอากาศโยธิน รถกระบะตู้ 3 คันซึ่งเป็นของเจ้าหน้าที่สารวัตรทหารบก หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ และยังได้เพิ่มรถตู้ของเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลอีก 1 คัน


ต่อมาเวลา 10.00 น. นายอภิสิทธิ์ได้เดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่ทำเนียบรัฐบาล โดยขบวนรถนายกฯ เลือกใช้เส้นทางถนนสุขุมวิท สี่แยกราชประสงค์ สี่แยกปทุมวัน

คาดว่านายกฯ ต้องการสำรวจสภาพความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการชุมนุมของ นปช. จากนั้นในเวลา 11.00 น. นายกฯ ได้เปิดโอกาสให้อาสากาชาดเข้าพบที่ตึกไทยคู่ฟ้า ก่อนเป็นประธานการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นฟูและการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์การชุมนุมในเวลา 13.30 น. และเข้าร่วมประชุมศอฉ. ในเวลา 17.00 น.

นายอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเป็นครั้งแรกในรอบ 11 วันว่า รัฐบาลและศอฉ. ได้เตรียมมาตรการรักษาความปลอดภัยให้แกประชาชน

แต่ศอฉ. จะระมัดระวังการดำเนินการต่างๆ เพื่อให้การกลับคืนสู่ภาวะปกติเป็นไปอย่างราบรื่น ดังจะเห็นได้จากการประกาศห้ามประชาชนออกนอกเคหะสถาน (เคอร์ฟิว) ที่ได้ค่อยๆ ร่นเวลาลง และได้มอบนโยบายไปว่าให้ประเมินเป็นพื้นที่ๆ ไป ส่วนข้อจำกัดอื่นๆ ที่ยังมีตามกฎหมายพิเศษ ก็จะประเมินเป็นระยะๆ


ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าการประกาศเคอร์ฟิวครั้งต่อไปอาจไม่ครบทั้ง 24 จังหวัดใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ขณะนี้จะให้แต่ละจังหวัดประเมินมา ถ้าจังหวัดไหนเห็นได้ชัดว่าเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ก็สามารถเสนอข้อมูลมาที่ศอฉ. ก็จะมีการพิจารณา


ผู้สื่อข่าวถามว่า ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยระบุว่าการต่อสู้อาจแปลงสภาพเป็นสงครามกองโจร รัฐบาลเตรียมการรับมืออย่างไร

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ฝ่ายความมั่นคงต้องทำงานหนักอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะงานด้านการข่าว แต่สิ่งที่จะช่วยได้ดีที่สุดคือการให้ข้อมูลตามความเป็นจริง อยากขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนด้วย อะไรที่ยังเป็นปัญหาว่าเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่ ยังมีข้อมูลที่แตกต่างกันก็มาค้นหาความจริงกัน ถ้าเราปล่อยข่าว หรือนำข้อมูลที่ถูกบิดเบือนไปเผยแพร่ มันจะทำให้สถานการณ์ลุกลามได้ ทั้งนี้ยอมรับว่าประชาชนจำนวนมากยังรู้สึกกังวล รัฐบาลจึงต้องเข้าไปติดตามอย่างใกล้ชิด และทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ในสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น
 

เมื่อถามว่า นายกฯ จะลงไปทำความเข้าใจกับประชาชนด้วยตนเองหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เราก็จะพยายาม ทุกคนต้องพยายามเข้าไป

เมื่อถามว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดสะท้อนให้เห็นหรือไม่ว่าหากพ.ต.ท. ทักษิณไม่หยุด ประเทศชาติไม่มีทางสงบ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คิดว่าเป็นหน้าที่ของทุกคนในการทำให้บ้านเมืองก้าวพ้นปัญหาต่างๆ ที่ตกค้าง พ.ต.ท. ทักษิณ หรือใครก็ตามไม่ว่าจะมีเป้าหมายอะไร ก็เป็นเรื่องที่ต้องมาดู หากเป้าหมายดังกล่าวสร้างความเสียหายให้ประเทศชาติ ก็ต้องร่วมมือกันป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้น


เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ปัญหาจะกลับมาปะทุขึ้นอีก นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คิดว่าไม่มีใครอยากเห็นเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก

และต้องตั้งคำถามอย่างจริงจังว่าหากเกิดเหตุการณ์ขึ้นอีก ใครจะได้ประโยชน์ ตนมองไม่เห็นเลยว่าใครจะได้ประโยชน์ เพราะไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็จะมีแต่ความเสียหาย ความแตกแยก ตนไม่คิดว่าคนที่ทำสิ่งเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อได้บางสิ่งบางอย่าง เขาก็ไม่ได้หรอก เพราะสังคมส่วนใหญ่รับไม่ได้กับความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นอีก ส่วนปัญหาจะเกิดขึ้นอีกหรือไม่ เป็นเรื่องที่รัฐบาลและประชาชนต้องร่วมมือกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก
 

เมื่อถามว่า จัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการไว้อย่างไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า จะไปเลือกทางใดทางหนึ่งไม่ได้

ทุกคนต้องทำหน้าที่ตัวเองทั้งกระบวนการยุติธรรม และกระบวนการฟื้นฟู เมื่อถามว่า ตำรวจที่ไม่ทำหน้าที่จะมีการปฏิรูปหรือไม่ เวลามีกรณีเฉพาะก็ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง และหลังจากนี้คงต้องดูภาพรวมตลอดเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา ตรงไหนจำเป็นต้องปฏิรูปก็ทำ แต่ขอให้เหตุการณ์กลับเข้าสู่ภาวะบริหารจัดการตามปกติได้ก่อน จึงจะเริ่มดำเนินการได้
 

เมื่อถามว่า จำเป็นต้องปฏิรูปทั้งหมด หรือพิจารณาเฉพาะตำแหน่งที่เป็นปัญหาจนทำให้เกิดเหตุเผาศาลากลาง นายกฯ กล่าวว่า คงต้องมีการประเมิน คงไม่เฉพาะตัวบุคคล แต่ต้องดูที่ตัวระบบด้วย


เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์