ที่พรรคเพื่อไทย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย
แถลงข่าวตอบโต้กรณีที่ถูกบุคคลในรัฐบาลระบุว่าเป็นหัวหน้าขบวนการก่อการร้ายและถูกระบุชื่อเป็นหนึ่งในแผนผังเครือข่ายที่มีพฤติการณ์ส่อล้มสถาบันว่า รัฐบาลมีการแถลงข่าวว่าตนเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมต่าง ๆ ที่เรียกว่าการก่อการร้ายและค่อนข้างที่จะจับตัวของตน ไปผูกกับอดีตนายทหารนอกราชการบางคน เช่น พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก และมีการควบคุมสั่งการใน เรื่องของการก่อการร้ายซึ่งเป็นสิ่งที่พวกตนไม่ได้ให้ความสนใจ แต่ปรากฏว่ามีผู้ซักถาม ในเรื่องนี้มาเยอะตนจึงขอเรียนข้อเท็จจริงให้ทราบ
“ทุกคนคงทราบดีว่าผมยึดถือการปฏิบัติในแนวทางสันติมาโดยตลอดตั้งแต่ 20 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นกรณีการต่อสู้เป็น 10 ปีของคนไทยที่ฝ่ายหนึ่งอยู่ในป่า ภายใต้การอุปถัมภ์ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย อีกฝ่ายหนึ่งเป็นรัฐบาล ซึ่งทำให้เกิดความสูญเสียอย่างมาก อีกทั้ง ยังได้ใช้เวลาแก้ปัญหาให้กับประเทศเพื่อนบ้าน มาวันนี้สถานการณ์เกิดขึ้นในบ้านในเมืองเราคงไม่มีวิถีทางอื่นนอกจากสันติวิธี ที่จะไม่ให้คนไทยเข่นฆ่าหรือรบราฆ่าฟันกัน นั่นคือหัวใจของพวกเรา ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับกลุ่มคน เสื้อแดง เหมือนเดินคนละขาถึงแม้จะมีแนวทางและนโยบายร่วมกันในการต่อสู้เพื่อสถาปนาระบอบประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นให้ได้ แต่ความสัมพันธ์เราอยู่ในระดับหนึ่งเท่านั้น ฉะนั้นข่าวที่ว่าตนได้เข้าไปเป็นหัวหน้ากระบวนการก่อการร้ายจึงเป็นข่าวที่สร้างความสับสนให้กับพี่น้องคนไทยมาก” พล.อ.ชวลิต กล่าว
จิ๋วเดือดโต้ข้อหาล้มสถาบัน
พล.อ.ชวลิต กล่าวอีกว่า ครั้งสุดท้ายที่ได้ให้ข้อเสนอแนะ ตนพยายามให้นายอภิสิทธิ์
มีความสำนึกในความเป็นผู้นำที่จะต้องมีความสนใจและเข้าใจจิตใจประชาชนทุกหมู่เหล่า ขอให้วิเคราะห์ปัญหาของประเทศให้ดี ปัญหาเร่งด่วนของชาติเราก็คือการขจัดการกระทบกระทั่งกันซึ่งจะเกิดขึ้นในเร็ววัน แต่การวิเคราะห์ปัญหาของนายอภิสิทธิ์ ตนไม่ทราบว่าทำไมถึงไปมองปัญหาอื่น จนทำให้ข้อตกลงร่วมกันในการที่จะยุบสภานั้นใช้เวลาที่แตกต่างกัน โดยฝ่ายเสื้อแดงขอเวลาที่เร็วที่สุดซึ่งตนและพรรคเพื่อไทยก็เห็นด้วย และสุดท้ายที่ตนตำหนิไปคือการสั่งการในการปราบปรามโดยไม่คำนึงถึงหลักการและวิธีการต่าง ๆ ที่จะลดความเสียหาย ค่ำมืดแล้วยังใช้กำลัง
“จากวันนั้นมาถึงวันนี้ ผมขอพูดว่าคุณอภิสิทธิ์ และคุณสุเทพเป็นอาชญากรที่มีจิตใจที่โหดเหี้ยมเหลือเกิน เพราะไม่เคยปรากฏ เลยว่าในบ้านเมืองของเราข้อขัดแย้งได้สร้างความเสียหายใหญ่มหาศาลเหมือนในครั้งนี้ ผมขอประณามว่าท่านเป็นอาชญากรที่สั่งฆ่าพี่น้องประชาชน และพี่น้องประชาชนทุกคนวันนี้โดยเฉพาะญาติมิตรพี่น้องเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ท่านนั้นได้รับผลตอบแทนจากการสั่งการที่ร้ายกาจที่สุด แย่ที่สุด เลวร้ายที่สุด ความเป็นนายกรัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่สมบูรณ์ หากมีเจตนาสามารถแก้ไขปัญหาได้ภายใน ข้ามคืน ถ้าทำไม่ได้ออกไปเดี๋ยวจะทำให้ดู”พล.อ.ชวลิต กล่าว
เมื่อถามว่ารัฐบาลกำลังอยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินการตั้งข้อหาก่อการร้าย พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า วันนี้กล่าวหาไปแล้ว
เขาไม่พูดกันหรอกถ้าเป็นคนที่มีความเข้าใจปัญหาเรื่องพวกนี้ดี ตนไม่อยากใช้คำว่าเป็นผู้ดี เขาจะไม่ใช้วิธีการแบบนี้ อย่างไรก็ตามหากศอฉ.เชิญตนไปให้ข้อมูล ตนจะ เชิญศอฉ.มาที่พรรคเพื่อไทยแทน เมื่อถาม ว่าความคาดหวังในการขอพึ่งพระบารมียังมีอยู่หรือไม่ พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า ต้องทบทวนนิดหนึ่งการแถลงข่าวนั้น ผมขอพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อมพวกเรา หรือพระมหากษัตริย์ของเรา สถาบันที่เราเคารพบูชาเป็นสถาบันอันศักดิ์สิทธิ์ เหมือนไหว้สิ่งศักดิ์ สิทธิ์และขอพรคุ้มกันตัวเอง นั่นคือสิ่งที่เป็นเจตนารมณ์
“วันนี้ยังยืนหยัดอยู่ว่ามีความอยากที่จะเข้าเฝ้าฯเพื่อกราบพระบาท กราบบังคมทูลให้ทรงทราบปัญหาของชาติ ซึ่งวันนั้นสื่อมวลชนก็ถามว่าจะติดต่อองคมนตรีคนไหน ผมก็บอกไปว่าไม่ได้ ต้องติดต่อท่านราชเลขาฯ ข่าวที่เสนอออกไปทำให้กลายเป็นว่าตนขอเข้าเฝ้าฯผ่านสื่อมวลชน ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนยอมรับว่าไม่ค่อยจะถูกต้อง แต่ก็อุตส่าห์กัดฟันอดทนไม่ยอมพูดไม่ยอมอธิบายอะไร เพราะจิตใจที่บริสุทธิ์ของเรานั้นทุกคนคงจะทราบดี” ประธานพรรคเพื่อไทย กล่าว
เมื่อถามว่าวันนี้ยังมีแนวความคิดที่จะขอเข้าเฝ้าฯหรือไม่ พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า
“เมื่อนำความกราบบังคมทูลเข้าไปแล้วจะล่อกแล่กไม่ได้ต้องมั่นคง ถ้ามีพระมหากรุณาธิคุณอย่างนั้นได้จริง ซึ่งความจริงเราก็ห่วงในเสด็จพ่อเรามาก เราก็คงมองเห็นอย่างเมื่อคืนวันที่ 26 เม.ย.ที่ผ่านมา บางทีบางคนมองดูแล้วน้ำตาไหล ทุกคนคงเข้าใจในเรื่องนี้ดี ถ้าเข้าแล้วเป็นประโยชน์จะได้เข้าไปกราบพระบาท แต่หากว่าไปรบกวนพระราชหฤทัยคงจะต้องระวางเอาไว้ก่อน เข้าใจเสด็จพ่อของเรา” เมื่อถามว่า มีการระบุว่าเข้าข่ายไปกดดันพระองค์ท่านและเชื่อมโยงกับเครือข่ายล้มสถาบัน พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า ไม่เข้าใจแม้แต่น้อย ถ้าหากว่าแผ่นชาร์จอันนั้นออกมาจริงถือเป็นสิ่งที่น่าเศร้าใจมากสำหรับฝ่ายการข่าวของศอฉ.เพราะค่อนข้างจะสับสนมาก
เมื่อถามว่าขณะนี้ยังมีขบวนการล้มทุนล้มปืนล้มเจ้าอยู่หรือไม่ พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า
สถานการณ์บ้านเมืองเราพัฒนามามาก 78 ปีที่เรามุ่งหวังการเปลี่ยนแปลงใช้ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดดีที่สุด สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปตึงขึ้นทุกวัน จนถึงจุดหนึ่งที่จะมีการเปลี่ยนแปลงตรงนี้สำคัญว่าในบ้านเมืองของเรามีกลุ่มคนหรือมีกระบวนการที่มีความตื่นตัวทางด้านการเมืองการปกครองมาก กลุ่มหนึ่งก็คือกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย พวกเราจะต้องให้การดูแลเข้าไปเกาะติดสัมผัสแลกเปลี่ยนปัญหาการเมืองการปกครองให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างสันติวิธี