ได้เวลายึดทรัพย์สมบัติของชาติคืนแล้ว!
"สมบัติของชาติต้องเร่งติดตามคืน"
เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2549 เราได้ลงบทหมายเหตุผู้จัดการเป็นเนื้อความว่ากิจการดาวเทียมไทยคม สายการบินแอร์เอเชีย โทรศัพท์มือถือเอไอเอส และโทรทัศน์ไอทีวี เป็นทรัพย์สมบัติของชาติที่จะต้องเร่งติดตามเอาคืน
และเราได้สัญญาไว้ว่าหากหน่วยงานที่เป็นผู้ให้อนุญาตหรือให้สัมปทานยังไม่ดำเนินการใด ๆ ในวันที่ 20 ตุลาคม 2549 เราก็จะติดตามทวงถามเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง
แต่เราขอเลื่อนมาทวงถามในวันนี้ วันที่ 23 ตุลาคม 2549 วันปิยมหาราช วันที่คนไทยรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงเลิกทาสในประเทศไทย เพื่อทวงถามและเรียกร้องต่อรัฐบาลพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ให้ช่วยติดตามเอาทรัพย์สมบัติของชาติคืนมา ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศไทยและคนไทยพ้นจากความเป็นทาสของชาติอื่นอย่างแท้จริง!
"ให้ ปชช.รู้เครือข่ายทรราช"
ถึงวันนี้เราต้องประกาศให้พี่น้องร่วมชาติทุกคนได้รู้ว่าเครือข่ายลิ่วล้อทรราชที่ดูแลรับผิดชอบหน่วยงานซึ่งเกี่ยวข้องกับการให้อนุญาตและสัมปทานกิจการดังกล่าวยังคงจงรักภักดีต่ออำนาจรัฐเก่า และไม่ยอมทำหน้าที่พิทักษ์รักษาปกป้องคุ้มครองสมบัติของชาติ
จึงสมควรที่รัฐบาลจะได้พิจารณาความผิดของคนพวกนี้ เบื้องต้นก็ต้องจัดการลงโทษและโยกย้ายผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังกล่าวออกไปจากตำแหน่งหน้าที่ ขจัดคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจในบ้านเมือง แล้วแต่งตั้งคนดีเข้าไปทำหน้าที่ต่อไป
เราต้องพูดเรื่องนี้และต้องเรียกร้องในเรื่องนี้ก็เพราะว่ากิจการดาวเทียมไทยคม กิจการสายการบินแอร์เอเชีย กิจการมือถือเอไอเอส และกิจการโทรทัศน์ไอทีวีเป็นสมบัติของชาติ
"เป็นเรื่องที่เพิกเฉยไม่ได้"
เป็นสมบัติของชาติประเภทที่เกี่ยวข้องอย่างยิ่งกับความมั่นคงและเอกราชอธิปไตยของประเทศด้วย จึงเป็นเรื่องที่ดูแคลนเพิกเฉยหรือละเลยไม่ได้เป็นอันขาด
กิจการทั้งสี่ประเภทดังกล่าวนี้เป็นกิจการของชาติที่หวงห้ามไว้มิให้คนต่างด้าวเท้าต่างแดนเข้ามาดำเนินการ ให้สิทธิ์เฉพาะคนไทยในการทำธุรกิจเท่านั้น เพราะเป็นไปตามหลักการที่ว่ากิจการที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและเอกราชอธิปไตยของชาติจะให้อยู่ในเงื้อมมือของคนต่างชาติไม่ได้เป็นอันขาด
ดังนั้นการให้อนุญาตและการให้สัมปทานกิจการทั้งสี่อย่างนี้จึงมีเงื่อนไขสำคัญประการหนึ่งคือ ผู้ได้รับอนุญาตหรือผู้ได้รับสัมปทานจะต้องเป็นคนไทยหรือกิจการของคนไทยเท่านั้น
"หากผิดเงื่อนไขให้ยกเลิกสัปทาน"
หากผิดเงื่อนไขนี้แล้วการให้อนุญาตและการให้สัมปทานก็เป็นอันสิ้นสุดลง รัฐมีสิทธิ์ยกเลิกและเอาคืนได้ทันที
แต่เดิมมาครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ และผู้ถือหุ้นรายย่อยในตลาดหุ้นได้ถือหุ้นใหญ่ในกลุ่มชิน และกลุ่มชินก็เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในกิจการทั้งสี่อย่างนี้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ที่ได้กล่าวมาทุกประการ
ต่อมาครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ ได้ขายหุ้นส่วนใหญ่ในกลุ่มชินให้แก่กลุ่มเทมาเส็กของสิงคโปร์ โดยมีบริษัทนอมินี่ของสิงคโปร์สองรายเป็นผู้ถือหุ้นแทนเทมาเส็กเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายการถือหุ้นและการประกอบการของคนต่างด้าว
"ใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ตน"
ความจริงในกิจการของกลุ่มชินเองมีกฎหมายบังคับให้ต่างด้าวถือหุ้นได้ไม่เกิน 25% เท่านั้น แต่รัฐบาลทักษิณได้ใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ตนออกกฎหมายให้ต่างด้าวถือหุ้นเพิ่มขึ้นได้ถึง 49% หลังจากนั้นอีกสองวันก็โอนขายหุ้นกลุ่มชินให้แก่เทมาเส็ก
แต่ยังคงผิดกฎหมายการประกอบการของคนต่างด้าวและผิดเงื่อนไขที่คนต่างด้าวประกอบกิจการสี่อย่างนี้ไม่ได้ และจะต้องยกเลิกสัญญาหรือสัมปทานทันที
ตอนแรกเถียงกันข้าง ๆ คู ๆ ว่าบริษัทนอมินี่นั้นเป็นผู้ถือหุ้นเอง เป็นเจ้าของเอง ไม่ได้เป็นนอมินี่แห่งเทมาเส็กของสิงคโปร์
แต่กรมทะเบียนการค้าซึ่งคุณหญิงอรจิต สิงคาลวณิช เป็นอธิบดีและเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายได้สอบสวนแล้วปรากฏผลว่าเป็นนอมินี่ของสิงคโปร์จริง จึงส่งเรื่องดำเนินคดีอาญากับผู้เกี่ยวข้อง
"ปกป้องและบิดเบือนผลการสอบสวน"
ในปลายรัฐบาลทักษิณได้ปกป้องเพื่อจะบิดเบือนผลการสอบสวนดังกล่าว โดยตั้งคณะกรรมการเถื่อนขึ้นมาสอบสวนใหม่ แต่ต้องเลิกไปเมื่อมีการปฏิรูปเพราะเป็นเรื่องผิดกฎหมายและช่วยคนผิดอย่างชัดเจน
นอกจากนั้นนายจิมมี่ฟุน กรรมการผู้จัดการอาวุโสด้านการลงทุนของเทมาเส็กได้เปิดแถลงข่าวเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2549 ระบุว่าเทมาเส็กคือผู้ซื้อหุ้นตัวจริง จึงเป็นอันสิ้นสงสัยได้แล้วว่าบริษัทนอมินี่นั้นไม่ใช่ของจริง ของจริงคือเทมาเส็กของสิงคโปร์ซึ่งเป็นต่างด้าว
ครั้นวันที่ 17 ตุลาคม 2549 สื่อมวลชนก็ได้เสนอข่าวการให้สัมภาษณ์ของนายจิมมี่ฟุนอีกครั้งหนึ่งว่า ทางเทมาเส็กซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ยินดีที่จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลง และกำลังเสนอขายให้กับคนไทย
"ผู้ถือหุ้นกลุ่มชินตัวจริง"
เป็นการยืนยันอย่างชัดเจนอีกครั้งหนึ่งว่าเทมาเส็กคือผู้ถือหุ้นกลุ่มชินตัวจริง ไม่จำเป็นต้องสอบอะไรกันอีกแล้ว ความจริงประจักษ์ชัดแล้วว่ากิจการทั้งสี่อย่างข้างต้นนั้นถือหุ้นโดยคนต่างด้าว
เป็นการผิดกฎหมาย ผิดเงื่อนไขในการอนุญาต และสัมปทานที่ชัดเจนที่สุดแล้ว!
เมื่อเป็นเช่นนี้หน่วยงานที่อนุญาตหรือให้สัมปทานกิจการดาวเทียมไทยคม กิจการสายการบินแอร์เอเชีย กิจการโทรศัพท์มือถือเอไอเอส และกิจการโทรทัศน์ไอทีวี จึงต้องทำการยกเลิกการอนุญาตหรือยกเลิกการให้สัมปทานแล้วยึดกิจการดังกล่าวกลับคืนเป็นสมบัติของชาติต่อไป
ปลดแอกพนักงานของทั้งสี่กิจการนี้จากการเป็นขี้ข้าของคนต่างด้าวให้กลับมามีฐานะเป็นลูกจ้างของรัฐหรือพนักงานของรัฐอีกทางหนึ่งด้วย
"เพื่อไม่ให้ผิดเงื่อนไข"
แต่จะทำอย่างไรได้เล่าเมื่อความผิดชัดเจนอย่างนี้แล้ว พวกลิ่วล้อทรราชที่รับผิดชอบหน่วยงานที่ให้อนุญาตและสัมปทานไม่ดำเนินการอะไร มิหนำซ้ำยังหาทางช่วยเหลือเพื่อเอื้ออาทรให้กับเทมาเส็กต่อไปเพื่อไม่ให้ผิดเงื่อนไขและไม่ให้ผิดกฎหมายอีกด้วย
จึงขอวิงวอนมายังพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ยอดขุนพลของแผ่นดิน ผู้ดำรงความซื่อถือความสัตย์และจงรักภักดีประจำชีวิตจิตใจ ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ได้โปรดจัดการติดตามเอาคืนทรัพย์สมบัติของชาติทั้งสี่รายการนี้โดยเร็วที่สุด
ไม่ควรปล่อยให้เอกราชอธิปไตยและความมั่นคงของชาติอยู่ในกำมือของต่างชาติแม้เพียงวันเวลาเดียว! ประวัติศาสตร์ของชาติจักต้องจารึกคุณงามความดีในเรื่องนี้ไว้ตลอดกัลปาวสานอย่างแน่นอน!
แหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ