คมชัดลึก :ผบก.น. 5 รับทหารเอาปืนจ่อหัวตร.จริง เชื่อแค่เข้าใจผิด ระบุ เคลียร์เรียบร้อยแล้ว เผยจับ 4 แดงป่วนบ้านนายกฯ ลั่นฟันแดงปิดถนนขัดพ.ร.ก.ชัดเจน ตร.แบ่งกำลังคุมเข้มบ้านคนสำคัญ หวั่นบึ้มซ้ำรอย เผยกวดขันจับกุมเข้มจยย.แดงแหกด่าน แจงเคลียร์แดงโรงกษาปณ์สงบ ไร้รุนแรง ชี้ตร.ยอมถอยไม่เสียหน้า
(26เม.ย.) ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) เมื่อเวลา 10.20 น.พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5
และ พ.ต.อ.วิสูตร ฉัตรชัยเดช รองผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.ปทุมธานี ร่วมแถลงข่าวคืบหน้าการดำเนินคดีกลุ่มเสื้อแดงที่ใช้ยานพาหนะรวมตัวกันที่บ้านพัก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และการปิดเส้นการจราจรบริเวณถนนพหลโยธินทางเข้าใกล้กับโรงงานกษาปณ์ โดยในส่วนของบริเวณบ้านนายกรัฐมนตรี มีกลุ่มผู้ชุมนุมประมาณ 400 คน ซึ่งทางกองบังคับการตำรวจนครบาล 5 จึงได้จัดกำลังสกัดกั้นตั้งแต่บริเวณปากซอยสุขุมวิท 31 และ ซอยแยกทั้ง 4 ทาง
โดยกลุ่มผู้ชุมนุมประสงค์ที่มาตรวจสอบว่า นายกรัฐมนตรี พักอยู่ที่บ้านหรือไม่ แต่เมื่อทราบว่านายกรัฐมนตรีไม่อยู่ ทางกลุ่มผู้ชุมนุมก็ทยอยกลับโดยไม่ได้ก่อเหตุหรือทำรุนแรงอะไร
ทั้งนี้การกระทำของผู้ชุมนุมฝ่าฝืนตามการประกาศ พรก.ฉุกเฉิน ฉบับเมื่อวันที่ 8 เม.ย.ที่ผ่านมา ในการห้ามใช้รถปิดกั้นจราจร โดยจะมีโทษจำคุก 2 ปี ปรับ 4 หมื่นบาท ซึ่งเบื้องต้นให้ตั้งพนักงานสอบสวนรวบรวมภาพถ่าย วีดีโอ มาเป็นหลักฐานเพื่อดำเนินคดีต่อไป ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการควบคุมตัวผู้กระทำความผิดจำนวน 7 คนแต่ต้องปล่อยตัวไป 3 คนเนื่องจากไม่ได้กระทำความผิดซึ่งหน้า เพราะไม่ได้อยู่ในพื้นที่ชุมนุม อย่างไรก็ตามจะเรียกตำเนินคดีภายหลัง ส่วน 4 คนที่ถูกควบคุมตัวถูกดำเนินคดีในข้อหาพกพาอาวุธ ทำให้เสียทรัพย์และนำยานพาหนะมาปิดการจราจร
ผู้การฯ5รับทหารปืนจ่อหัวตำรวจจริง
พล.ต.ต.อนุชัย กล่าวอีกว่า ส่วนแผนมาตรการรักษาความปลอดภัยนายกรัฐมนตรีได้มีการปรับแผนตลอด
แต่เนื่องจากบ้านนายกรัฐมนตรีอยู่ในย่านชุมชนที่มีการประกอบธุรกิจ จึงไม่สามารถปิดกั้นจราจรกได้ แต่เมื่อมีการข่าวเข้ามาว่าจะมีกลุ่มผู้ชุมนุมเดินทางเข้ามาก็จำเป็นจะต้องมีการจัดกำลังเข้ามาปิดกั้นการจราจรให้เกิดความปลอดภัย ส่วนกรณีที่คนร้ายพยายามก่อเหตุด้วยการนำระเบิดไปขว้างปาบ้านพักบุคคลสำคัญ โดยเฉพาะนักการเมืองนั้น ในพื้นที่กองบังคับตำรจนครบาล 5 มีบ้านพักบุคคลสำคัญกว่าร้อยหลัง เราได้มีการจัดกำลังเข้าไปดูเพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอย โดยเฉพาะพื้นที่เป้าหมายว่า จะถูกประทุษร้ายเราจะมีการจัดกำลังเข้าไปเป็นพิเศษ ทั้งนี้กำลังที่มีอยู่ไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติ กำลังของบก.น. 5 มีกำลัง 10 หน่วย 9 สน.มีกำลัง 2,500 - 3,000 นาย ซึ่งกำลังต้องดูแลในเรื่อปราบปราม และต้องมีการแบ่งกำลังไปดูแลบ้านพักคนสำคัญด้วย
“ ส่วนเหตุการณ์ที่ทหารมีการใช้ปืนจ่อขมับตำรวจเมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา ที่บริเวณสีลมนั้น ตำรวจที่ถูกปืนจ่อหัวเป็นรองผู้กำกับสน.พระโขนง ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องภายในของผู้บังคับบัญชาทั้งสองฝ่าย แต่ได้มีการพูดจาทำความเข้าใจกันแล้ว ทั้งนี้เชื่อว่าเกิดจากความเข้าใจผิด ไม่ใช่เรื่องของศักดิ์ศรี หากผมอยู่ตรงนั้นจะไม่เกิดเหตุการณ์ขึ้นเพราะผมสามารถดูแลลูกน้องตนได้ อย่างไรก็ตามในระดับปฏิบัติอาจเกิดความไม่พอใจกันบ้าง แต่ต้องเคารพในเหตุผล เพราะถ้าไม่มีเหตุผลต้องดำเนินการตามระเบียบวินัย ซึ่งไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น เพราะเรากำลังปฏิบัติในสถานการณ์สุ่มเสี่ยง ซึ่งตำรวจกับทหารต้องทำงานเคียงคู่กัน หากขัดแย้งกันก็น่าเป็นห่วงประชาชน ” พล.ต.ต.อนุชัย กล่าว
พ.ต.อ.วิสูตร กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มผู้ชุมนุมมีการปิดเส้นการจราจรบริเวณถนนพหลโยธินทางเข้าใกล้กับโรงงานกษาปณ์ ว่า กลุ่มผู้ชุมนุมนำกำลัง 500 คนไปปิดถนนพหลโยธินขาเข้าใกล้กับโรงงานกษาปณ์
ซึ่งได้มีการนำกระบะมาปิดกั้นด้านขาเข้าทางด่วน และ เส้นคู่ขนาน และมีการใช้เครื่องขยายเสียง เราได้มีนำรถตำรวจมาสนับสนุน โดยใช้กำลังจำนวน 4 กองร้อย จาก จ.นครพนม จ.ชัยนาท จ.ลพบุรี และ จ.นครสวรรค์ รวม 538 คน โดยมีรถกระบะ รถบรรทุก พร้อมอุปกรณ์จำนวน 53 คัน ซึ่งเมื่อมีการปิดถนนทางเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 1 เข้าไปพูดคุยกับแกนนำ เจรจา ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมเกรงว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจต่างจังหวัดเข้ามาช่วย จึงขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำรถหลบข้างทางและ จอดที่บริเวณลานข้างเคียง จากนั้นได้มีการเจรจาอีกครั้ง จนกลุ่มผู้ชุมนุมมีการปิดเส้นทางจำนวน 2 ช่องทาง จนเมื่อถึงเวลา 23.00 น. ทางกลุ่มผู้ชุมนุมก็ขอร้องให้ตำรวจเดินทางมาสนับสนุนเดินทางกลับ ซึ่งเราก็เดินทางกลับเพราะไม่อยากมีปัญหา หลังจากเราได้นำรถเคลื่อนออกจากจุดกัก จึงได้มีการเจรจา ซึ่งผลการเจรจาก็ประสบความสำเร็จ กลุ่มผู้ชุมนุมได้สลายการชุมนุม ทั้งนี้เหตุการณ์ก็ไม่ได้มีปัญหา ตำรวจก็ไม่ได้รับบาดเจ็บ อย่างไรก็ตามก็จะต้องดำเนินคดี เพราะการปิดถนนถือเป็นความผิดที่ชัดเจน และจะรวบรวมหลักฐานที่มีการนำผู้ชุมนุมปิดกั้นถนน และใช้เครื่องขยายเสียงปราศรัยโจมตี ที่ผ่านมามีบางฝ่ายต้องการให้ตำรวจดำเนินการจับกุม หรือสลายการชุมนุม แต่เราคิดว่าการเจรจาน่าจะประสบผลสำเร็จจึงใช้การเจรจา ทั้งนี้ในส่วนของการดำเนินการ เราจะดำเนินการตามขั้นตอนตามกฎการใช้กำลัง ซึ่งคิดว่า การที่ตำรวจถอยกำลังออกไม่ถือว่าเป็นการเสียหน้า
เมื่อถามว่าเหตุใดตำรวจจึงล่าถอยตามคำร้องขอของกลุ่มผู้ชุมนุม พ.ต.อ.วิสูตร กล่าวว่า ขณะนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมได้เพิ่มจำนวนจาก 500 คน เป็น 2,000 คน
และขณะนั้นเป็นช่วงค่ำ ซึ่งการดำเนินการในช่วงกลางคืนเราไม่อยากมีบทเรียนซ้ำรอยเดิม ทั้งนี้ยืนยันว่าตำรวจไม่เกียร์ว่างทำงานตลอด 24 ชม. ตอนนี้ทำงานเป็นเกียร์ออโตตลอด ห้ามกำลังพลลาหยุด ลาป่วย และใช้กำลังจากทุกจังหวัดปฏิบัติหน้าที่ของตนเองตลอด ส่วนกรณีที่ตำรวจถูกกล่าวหาว่าเป็นตำรวจมะเขือเทศนั้น เป็นเรื่องของต่างคนต่างจิตต่างใจ แต่ยืนยันว่าเราปฏิบัติตามหน้าที่อย่างเต็มที่ และหากใครมีความผิดชัดเจนก็ยอมไมได้ เราจะต้องดำเนินการไปตามกฎหมาย
ส่วนกรณีที่ทางกลุ่มผู้ชุมนุมใช้จักรยานยนต์ไปปิดสถานที่ต่าง ๆ ขณะนี้เรามีการกวดขันจับกุมมากขึ้นในการที่นำรถผ่านด่านเข้ามา
แต่อย่างไรก็ตาม จากกรณีที่กลุ่มเสื้อแดงเปลี่ยนยุทธวิธีใช้เสื้อไร้สี ไม่ใส่เสื้อแดงก็ทำให้ตำรวจทำงานอย่างลำบาก เพราะจะต้องมีการคัดกรองว่าใครเป็นใคร ส่วนที่กลุ่มผู้ชุมนมสกัดตำรวจไม่ให้ตำรวจต่างจังหวัดเข้ามาทำงานในพื้นที่นั้น ขณะนี้ตำรวจได้มีการปรับเปลี่ยนยุทธวิธีในการเดินทางเข้ามา เมื่อถามว่า หวั่นหรือไม่หากใช้กำลังเข้ามาจำนวนมากจะเกิดเมื่อช่วง 7 ต.ค.ปีที่ผ่านมานั้น พ.ต.อ.วิสูตร กล่าวว่า เป็นประเด็นหนึ่งที่ตำรวจกลัว เพราะเรามีบทเรียนมาแล้ว ดังนั้นจะต้องดำเนินการไปตามคำสั่งศาล และหากจะมีการดำเนินการก็จะต้องมีการทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษร