วันนี้ ( 25 เม.ย.) ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า ในวันที่ 26 เม.ย.นี้ ตนจะพาญาติของผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม เมื่อวันที่10 เม.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับความสูญเสียโดยตรงไปยื่นกล่าวหาต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้ดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง และผู้บัญชาการทหารบก ที่ใช้กำลังและสนับสนุนให้ใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธสงครามล้อมปราบ และสลายการชุมนุมประชาชนโดยมิชอบโดยกฎหมาย ใช้อำนาจตามกฎหมายไม่สุจริตเกินความจำเป็น ลุแก่อำนาจ และไม่เหมาะสมแก่สถานการณ์ กระทำการโดยไม่เป็นไปตามลำดับขั้นตอน ไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากลเกี่ยวกับการสลายการชุมนุม
ฉะนายกฯ ปฏิเสธแก้วิกฤตด้วยสันติวิธี
นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า การที่กลุ่ม นปช. เสนอข้อเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาใน 30 วัน และเป็นรักษาการอีก 2 เดือน รวมแล้ว 3 เดือน ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องที่ตรงกับคณะอาจารย์ 250 ท่าน เครือข่ายสันติประชาธรรม ที่เคยทำจดหมายเปิดผนึกถึงนายอภิสิทธิ์ แต่นายอภิสิทธิ์ ได้ออกมาปฏิเสธข้อเสนอล่าสุดของ นปช. แบบไม่มีเยื่อใย อ้างว่ารับไม่ได้ที่ใช้ความรุนแรงมาข่มขู่คุกคามเพื่อให้ได้คำตอบทางการเมือง และยังกล่าวหาว่าสิ่งที่ นปช. เสนอคงเป็นความพยายามที่จะหวังผลในเรื่องการสร้างภาพกับต่างประเทศเสียมากกว่า ถือเป็นการปฏิเสธที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งโดยสันติวิธีจากผู้นำประเทศที่อ้างว่า มาจากประชาชน
จี้ “อนุพงษ์” ทบทวนนโยบายทหารนำการเมือง
โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ส่วนที่นายอภิสิทธิ์ ออกรายการเชื่อมั่นประเทศไทย กับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. หลังจากปฏิเสธการเจรจากับกลุ่ม นปช. เป็นการชี้ให้เห็นว่านายอภิสิทธิ์ และพล.อ.อนุพงษ์ กำลังแสดงให้ประชาชนคนทั้งประเทศและผู้ชุมนุมทราบว่า รัฐบาลและกองทัพจะแก้ปัญหาวิกฤติความขัดแย้งทางการเมืองในขณะนี้ด้วยการทหารนำหน้าการเมือง โดยรัฐบาลจะใช้กองทัพเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการรักษาอำนาจของตนเองต่อไป แทนที่จะให้การเมืองแก้ด้วยการเมือง จึงขอเรียกร้องให้ พล.อ.อนุพงษ์ ทบทวนบทบาทตนเองว่ากำลังตกเป็นเครื่องมือของรัฐบาลในการที่จะทำให้เกิดสงครามกลางเมืองเหมือนกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่ พร้อมขอให้ทบทวนนโยบาย โดยทหารควรถอยออกจากการเมือง และวางตัวเป็นกลางทางการเมือง ความขัดแย้งจึงจะไม่บานปลายลุกลามเป็นสงครามการเมือง แต่จากกรณีที่สัญญาณออกอากาศรายการเชื่อมั่นประเทศไทยตัดขัดนั้นถือเป็นลงร้ายของผู้ที่ทำร้ายประชาชน
เชื่อเอ็ม 32 บึ้มสีลม บอกมีใช้แค่หน่วยรบพิเศษ
นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า การที่มีคนร้ายได้ยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่ผู้ชุมนุมเสื้อหลากสี ที่ถนนสีลม เมื่อวันที่ 22 เม.ย. มีลักษณะเดียวกับที่คนร้ายเคยใช้อาวุธปืนเอ็ม 79 ยิงเข้าใส่ศูนย์รักษาความปลอดภัย กรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ ร.1 รอ. ถนนวิภาวดี เมื่อวันที่ 15 มี.ค. โดยยิงจำนวน 6 นัดรวด แต่ระเบิดทำงานแค่ 4 นัด ซึ่งจากแหล่งข่าวด้านความมั่นคงให้ข้อมูลว่าอาวุธที่ยิงที่สีลมกับกรมทหารราบที่ 1 น่าจะเป็นชนิดเดียวกัน คือเอ็ม 32 ที่บรรจุกระสุนเอ็ม 79 ได้ครั้งละ 6 นัดแบบเหมือนลูกโม่ ซึ่งมีอยู่ประจำการในหน่วยรบพิเศษเท่านั้น หน่วยทหารปกติทั่วไปจะไม่มีใช้ จึงขอเรียกร้องไปยังรัฐบาล และ พล.อ.อนุพงษ์ ให้ตรวจสอบอย่างจริงจัง หากมีความจริงใจคงจะหาคนผิดมาลงโทษได้ไม่ยาก
“พร้อมพงศ์” เรียกร้องตำรวจ ปกป้องศักดิ์ศรี
นายพร้อมพงศ์ กล่าวเรียกร้องให้ข้าราชการตำรวจทั้งที่รับราชการอยู่ปัจจุบันและเกษียณอายุราชการไปแล้วได้ออกมาปกป้องศักดิ์ศรี และเกียรติยศของข้าราชการตำรวจ โดยเฉพาะพล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาการ ผบ.ตร. ควรออกมาปกป้องผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างทันที ไม่ใช่ปล่อยให้ข้าราชการตำรวจถูกระทำย่ำยีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะเท่ากับเป็นการยอมรับการอยู่ภายใต้ ท๊อปบูทของทหาร หลังปรากฎข้อเท็จจริงว่าคืนวันที่ 22 เม.ย. พ.ต.ท.ไกรศรี สุวรรณงาม รอง ผกก.ป.สน.พระโขนง ทำหน้าที่ ผบ.ร้อย1 บก.น.5 ควบคุมชุด ปจ. เข้าปฎิบัติหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยที่ย่านถ.สีลม ถูกนายทหารเอาปืนจี้ศีรษะเพื่อไม่ให้ทำการจับกุมผู้ก่อเหตุและยังมีทหารใช้ปืน เอ็ม16 ขู่ให้ถอยกลับออกไป การกระทำดังกล่าวนอกจากเป็นเรื่องผิดกฎหมายแล้วยังเป็นการทำลายศักดิ์ศรีของข้าราชการตำรวจ
พร้อมพงศ์ โวยคณะกรรมการสิทธิ ถือหางรัฐบาล
โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)เพื่อพิจารณาตรวจสอบเหตุการณ์ความรุนแรง เมื่อ 10 เม.ย.โดยมีนางอัมรา พงศาพิชญ์ เป็นประธาน ขอตั้งข้อสังเกตว่าคณะอนุกรรมการหลายคนน่าจะไม่มีความเป็นกลาง อย่างเช่น นายนิรันด์ พิทักษ์วัชระ น.ส.สารี อ่องสมหวัง และยังมีคณะกรรมการอีกบางคนที่สำคัญ พล.ท.ดาวพงษ์ รัตนสุวรรณ รองเสนาธิการทหารบก ผู้ที่มีส่วนในการใช้กำลังทหารสลายการชุมนุม ทำให้มองได้ว่าคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนน่าจะถือหางฝ่ายรัฐบาล ดังนั้นควรให้ศาลยุติธรรมดำเนินการไต่สวนตามที่ญาติของผู้ที่เสียชีวิตได้แจ้งความร้องทุกข์กับกองปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ สน.ชนะสงคราม น่าจะเป็นที่ยอมรับของญาติผู้เสียหายและทุกฝ่ายมากกว่า ผลสอบที่มีอนุกรรมการบางคนยังใส่เสื้อสีเหลือง