"กรณ์"แถลงเปิดตัวเลขเศรษฐกิจเทียบการบริหารระหว่างรัฐบาลอภิสิทธิ์กับรัฐบาลทักษิณ ยืนยันดีกว่าทุกด้าน สะท้อนการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ
นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงเปรียบเทียบผลการบริหารเศรษฐกิจระหว่างรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะกับอดีตรัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
โดยระบุว่า เมื่อดูดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจสำคัญในด้านต่างๆพบว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์สามารถบริหารเศรษฐกิจได้ดีกว่าทุกด้าน ทั้งดัชนีตลาดหลักทรัพย์ รายได้เกษตร จีดีพีโดยรวม ระดับหนี้สาธารณะ รวมถึง การให้ความสำคัญกับงบประมาณที่ใช้เพื่อการศึกษาและระบบสาธารณสุข
ทั้งนี้ ในแง่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยนั้น รัฐบาลอภิสิทธิ์สามารถบริหารเศรษฐกิจให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับเพิ่มขึ้นมากกว่ารัฐบาลสมัคร สุนทรเวช และ รัฐบาลสมชาย พูลสวัสดิ์
รวมถึง เพิ่มขึ้นมากกว่าเมื่อเทียบกับดัชนีเอ็มเอสซีไอ กล่าวคือ ช่วงรัฐบาลสมัครดัชนีหุ้นไทยลดลง 24% ดัชนีเอ็มเอสซีไอลดลง 17% รัฐบาลสมชายลดลง 25% ดัชนีเอ็มเอสซีไอลง 14% รัฐบาลอภิสิทธิ์เพิ่ม 77% ดัชนีเอ็มเอสซีไอเพิ่มขึ้น 30%
"และเมื่อเทียบว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์ กับ รัฐบาลทักษิณใครเก่งกว่ากัน ก็มาดูว่า ในรอบ 469 วันแรกของการบริหารของทั้งสองคน ปรากฏว่า รัฐบาลทักษิณทำให้ดัชนีหุ้นเพิ่มขึ้น 1.29 เท่า ส่วนรัฐบาลอภิสิทธิ์ทำให้ดัชนีหุ้นขึ้น 1.77 เท่า"
ด้านรายได้เกษตรกรนั้น พบว่า ตั้งแต่รัฐบาลทักษิณเข้ามาบริหารงาน รายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาจนถึงรัฐบาลปัจจุบัน
แต่หากเทียบ 5 ปีของการบริหารของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ พบว่า รายได้เกษตรเพิ่มขึ้น 33% ส่วน 1 ปีของรัฐบาลอภิสิทธิ์เพิ่มขึ้นถึง 18% สะท้อนว่า อัตราการเพิ่มขึ้นในระยะสั้นนั้นสูงกว่า ด้านอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจโดยรวมนั้น หากวัดจากจุดต่ำสุดของเศรษฐกิจเทียบกับทุกประเทศทั่วโลกพบว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์สามารถบริหารเศรษฐกิจให้เติบโตได้ถึง 10.2% หรืออันดับ 4 ของโลก รองจาก จีน ไต้หวัน และมาเลเซีย ส่วนระดับหนี้สาธารณะของไทยนั้น ก็ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าช่วงที่รัฐบาลทักษิณบริหาร
รมว.คลัง กล่าวอีกว่า เมื่อพิจารณาถึงการให้ความสำคัญกับประชาชนในด้านระบบการศึกษาและสาธารณสุข
ก็พบว่า รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญกว่ามาก กล่าวคือ รัฐบาลทักษิณ ใช้งบประมาณ 5 ปีเฉลี่ย 2.3 แสนล้านบาท ส่วนรัฐบาลนี้ใช้งบประมาณ 4.3 แสนล้านบาท ด้านงบประมาณเพื่อระบบสาธารณสุขนั้น รัฐบาลทักษิณ ใช้งบ 5 ปีจำนวน 8 หมื่นล้านบาท ส่วนรัฐบาลนี้ใช้เม็ดเงินถึง 2 แสนล้านบาท