.....นายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ รู้อยู่แก่ใจว่า งบปี 53 นั้นพิกลพิการ เพราะมีทั้งเรื่องการกู้เงิน และการจัดสรรงบเพื่อประชานิยมจนกระเป๋าฉีก แถมยังมีกระบวนการทุจริตรั่วไหลมากมาย ขืนเอากรอบนี้มาใช้ซ้ำอีกปี ไม่เพียงเศรษฐกิจพังแน่แต่ข้าราชการกระทรวงต่างๆ จะยิ่งพากันหันมาหาเสื้อสีแดงสวมใส่มากขึ้นนายอภิสิทธิ์ จึงได้กังวลเรื่องงบประมาณปี 54 มากที่สุด และพยายามต่อรองขอเวลาในการเป็นรัฐบาลต่อไปอีกนานถึง 9 เดือน
ด้วยแรงกดดันของการชุมนุมของ นปช. และกลุ่มประชาชนคนเสื้อแดง ที่เรียกร้องประชาธิปไตย ด้วยการให้รัฐบาลยุบสภาให้เร็วที่สุด ด้วยจำนวนคนเรือนแสนที่มา ซึ่งทำให้กลายเป็นภาพข่าวครึกโครมออกไปทั่วโลก จนทำให้การคาดการณ์ต่างๆ ของรัฐบาลผิดคาดไปหมด จนกลายเป็นแรงบีบให้รัฐบาล... เพราะแม้ในอดีตอาจจะไม่ให้ราคาการชุมนุมของคนเสื้อแดง แต่มาวันนี้มุมมองต้องเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงแล้วนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ต้องยอมเจรจากับ
ทางแกนนำ นปช. และแสดงท่าทีชัดเจนว่า ด้วยสถานการณ์อย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ เมื่อรัฐบาลไม่สามารถที่จะบริหารราชการโดยได้รับการยอมรับจากทุกภาคส่วนจนเป็นที่รับรู้ไปทั่วโลกเช่นนี้การยุบสภาเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วสิ่งที่จะสามารถรักษาหน้าตาของรัฐบาลให้ยังคงดูดีที่สุดเอาไว้ ก็คือ การต่อรองเงื่อนไข โดยเฉพาะเรื่องของเงื่อนเวลา เพราะถ้าขืนโดนคนเสื้อแดงต้อนฝ่ายเดียว อนาคตของทั้งนายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ บนถนนการเมืองของ
ไทย... เหนื่อยสาหัสแน่นอนดังนั้นเมื่อคนเสื้อแดงบอกว่าต้องยุบสภาภายใน 15 วัน รวมทั้งนักวิชาการก็ดาหน้ากันออกมาเสริมว่า ให้เต็มที่ 3 เดือน... นายอภิสิทธิ์ ก็จำต้องตั้งการ์ดสูง เก็บอาการและรักษาภาพเอาไว้ ด้วยการยืดระยะเวลายาวไปถึงขนาดขอเวลา 9 เดือนไม่เพียงทำให้การเจรจาสะดุด แต่ยังทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ตามมาทั่วบ้านทั่วเมืองยกเว้นรัฐบาล และบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว ทุกคนทุกภาคส่วนมองตรงกันโดยมิได้นัดหมายว่า นี่คือการซื้อ
เวลาของรัฐบาลเพราะเงื่อนไขต่างๆ ที่อ้างว่าจะต้องทำให้บรรลุก่อน จึงจะยุบสภาได้นั้น หากจริงใจเอามาวางเป็น Action Plan กันจริงๆ แล้ว จะพบว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเป็น 9 เดือนเลยจริงๆยื้อกันสุดๆ ยังไงก็ไม่ควรเกิน 6 เดือนแต่เมื่อรัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ ยืนกรานว่าต้อง 9 เดือน จึงทำให้แม้แต่อดีตนายกรัฐมนตรี อย่าง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ยังอดตั้งข้อสงสัยไม่ได้ก็ในเมื่ออย่างน้อยที่สุดนายอภิสิทธิ์ก็ยอมรับ และคนส่วนใหญ่ก็ยอม
รับแล้วว่า ต้องยุบสภา ทำไมจึงต้องยื้อเวลากันออกไปอีกนานถึง 9 เดือน…“ไม่เหมาะแน่ ไม่มีเวลาพอขนาดนั้น” คือ ความรู้สึกของ พล.อ.ชวลิต โดยเหตุผลสำคัญก็คือ ตอนนี้ค่อนข้างจะวิกฤติ ผู้คนจำนวนมากต้องการให้เกิดความเปลี่ยนแปลง เพราะทนไม่ไหวต่อการบริหารงานที่ไม่บริสุทธิ์ คอร์รัปชั่นสูงและที่จริงข้อเสนอ 15 วัน ของกลุ่มคนเสื้อแดง บิ๊กจิ๋วบอกว่าความจริงแล้วไม่ใช่ 15 วัน แต่จะต้องบวกไปอีก 45 วัน นั่นก็เท่ากับร่วม 2 เดือน น่าจะเพียงพอในการแก้ไข
ปัญหาเร่งด่วนส่วนข้อเสนอของคณาจารย์ นักวิชการที่ระบุว่า เวลาที่เหมาะสมควรจะเป็น 3 เดือน ก็ต้องมาดูกันอีกที ซึ่งอาจจะบอกว่า 2 เดือนคงจะพอ ซึ่งน่าจะพูดจากันได้ ที่สำคัญควรฟังเสียงส่วนใหญ่ที่บอกว่า ยุบสภาเถอะ อยู่กันทำไม เมื่ออยู่แล้วประเทศเสียหายลงทุกวันอย่างนี้ “ถ้าทุกคนเห็นปัญหาของชาติเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องแก้ไขเร่งด่วน พวกเราก็ทราบกันดี ทุกคนห่วงใยทั้งนั้น ไม่ใช่ทิ้งระยะเวลาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น” สำหรับกรณี นายบรรหาร ศิลปอาชา
ที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ยังยืนยันที่จะร่วมรัฐบาลต่อไป พล.อ.ชวลิต มองว่า ถ้าหากบ้านเมืองเสียหาย แล้วบอกว่า เอาตัวเราเป็นหลักนั้น ไม่ถูก ไม่ใช่วิสัยของนักการเมืองที่จะต้องนึกถึงปัญหาของบ้านเมืองเหนือสิ่งอื่นใดดังนั้นก็คงต้องดูว่า การเจรจาระหว่างนายอภิสิทธ์กับแกนนำ นปช. จะคืบหน้าไปได้เพียงใด???เพราะเงื่อนไขต่างๆ ที่นายอภิสิทธิ์ กล่าวอ้าง อย่างเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น นายดิเรก ถึงฝั่ง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป
การเมืองและแก้ไขรัฐธรรมนูญ มองว่าการจะแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนหรือหลังการเลือกตั้ง จริงๆ แล้วสามารถทำได้ทั้งสองอย่าง แต่ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ส่วนข้อกำหนดเรื่องระยะเวลา ควรหาจุดกลางที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้ ซึ่งโดยส่วนตัวเห็นว่าหากลงมือที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญกันอย่างจริงจัง โดยตัดขั้นตอนการทำประชามติออกไป แล้วใช้มาตรา 191 นายดิเรกพูดชัด “ระยะเวลา 4 เดือน ก็น่าจะแล้วเสร็จได้”นั่นสะท้อนว่า จริงๆแล้วสามารถทำได้ เพียงแต่จะทำหรือไม่
เท่านั้นซึ่งเรื่องจะทำจริงหรือไม่จริง เรื่องการซื้อเวลามาตลอดเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาล ของพรรคประชาธิปัตย์ ก็เป็นอีกประเด็นที่ก่อให้เกิดความไม่เชื่อมั่น เพราะเรื่องแก้รัฐธรรมนูญนั้น หากรัฐบาลจริงใจจริงๆ ป่านนี้ต้องทำแล้ว เพราะนายดิเรก สรุป 6 ประเด็นแก้ไขจนเรียบร้อยมาหลายเดือนแล้วแต่รัฐบาลไม่เคยสนใจหยิบขึ้นมาดู จึงทำให้วันนี้เมื่อนายอภิสิทธิ์ อ้างเรื่องนี้ จึงย่อมต้องถูกมองว่า... อีกแล้ว ซื้อเวลาอีกแล้วและนำไปสู่ความไม่เชื่อถือกันอยู่
ลึกๆ ก็ขนาดนายชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ยังพูดชัดว่าเรื่องรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องที่สำคัญ ถ้าเป็นห่วงว่าจะไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ให้มาเซ็นสัญญากันเลยว่า วันที่เท่านั้นถึงวันที่เท่านั้นทำอะไร เมื่อทุกพรรคที่เซ็นแล้ว วันที่มีการประชุมสภาทุกพรรคต้องโหวตให้แล้วก็จบกันไป “เซ็นสัญญากันให้เรียบร้อยไปเลยจะได้ไม่มีปัญหาอะไร”นี่คือภาพเครดิตของรัฐบาล ที่นายอภิสิทธิ์ ควรจะต้อง
ทบทวนด้วยเช่นกันว่าวันนี้เหลือความน่าเชื่อถืออีกแค่ไหน??? การเล่นเกมการเมืองที่มากเกินไป การยื้อทุกเรื่องทุกประเด็น รวมทั้งความไม่จริงใจในการแก้ไขปัญหาตลอดระยะเวลาปีเศษที่เป็นรัฐบาลและรวมทั้งสไตล์ เอาดีใส่ตัว เอาชั่วโยนให้คนอื่น แนวถนัดของพรรคประชาธิปัตย์นั้นวันนี้ได้ส่งผลให้ความน่าเชื่อถือ หรือเครดิตที่มีต่อสังคม ที่มีต่อพรรคการเมืองต่างๆ ลดน้อยลงอย่างน่าใจหาย... แต่จะโทษใครก็คงไม่ได้ เพราะนายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ ทำตัว
เองล้วนๆเลยก็ว่าได้ขนาดนายอภิสิทธิ์แสดงท่าทีชัดเจนแล้วว่า การยุบสภาเป็นสิ่งที่หนีไม่พ้น แต่สังคมและประชาชนยังไม่เชื่อถือ... ถึงขนาดขอให้มีการทำสัญญาประชาคมกันขึ้นมา นี่ถ้าเป็นประเทศประชาธิปไตยที่แท้จริง หรือเป็นช่วงที่ประชาธิปไตยของไทยไม่ได้อยู่ใต้เงาอำมาตย์และท๊อปบู๊ท มีหวังนายกรัฐมนตรีคงต้องลาออกด้วยความละอายแก่ใจกันแล้วดังนั้นวันนี้ยังไม่สาย หากนายอภิสิทธิ์ จะใช้ความรู้ระดับสากลที่เรียนมาจากอ๊อกซฟอร์ด มาทำ Action
Plan กันไปเลยว่า หากต้องแก้รัฐธรรมนูญ 6 ประเด็นตามที่คณะกรรมการสมานฉันท์ทำเอาไว้ ก็ยกเอามาเลย ทำไมจะต้องทำให้เสียเวลาอีกเป็นเดือนๆหรือเรื่องเศรษฐกิจ นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็คุยเช้าคุยเย็นว่าดีแล้ว กระเตื้องแล้ว ผลงานเพียบ เศรษฐกิจปีนี้จะโต 4-5% ตลาดหุ้นขึ้นทุกวัน... อย่างนี้แล้วนายอภิสิทธิ์จะห่วงอะไรอีก จะต้องเสียเวลาแก้ไขเศรษฐกิจอะไรกันอีก??จะมีก็แต่เรื่องงบประมาณ ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นประเด็นสำคัญ
ในใจลึกๆ ของนายอภิสิทธิ์ ของพรรคประชาธิปัตย์ และบรรดาพรรคร่วมรัฐบาล ที่ต้องการให้ผ่านงบประมาณปี 2554 ให้เรียบร้อยก่อนจะได้นอนตาหลับหลังยุบสภา ว่าจะไม่มีปัญหาเรื่องกระสุนดินดำทางการเมืองในอนาคตใช่หรือไม่??จริงๆ นับตั้งแต่การทำรัฐประหารในปี 2549 ได้ทำให้งบประมาณมีปัญหามาตลอด มีทั้งการใช้กรอบงบประมาณเดิมซ้ำอีกปีก็ยังมี ฉะนั้นหากงบปี 54 ไม่ทัน ตามหลักก็สามารถใช้กรอบงบประมาณปี 53 ได้ โดยไม่ต้องเสียเวลาอย่างที่
กล่าวอ้างก็ได้ซึ่งนายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ รู้อยู่แก่ใจว่า งบปี 53 นั้นพิกลพิการ เพราะมีทั้งเรื่องการกู้เงิน และการจัดสรรงบเพื่อประชานิยมจนกระเป๋าฉีก แถมยังมีกระบวนการทุจริตรั่วไหลมากมาย ขืนเอากรอบนี้มาใช้ซ้ำอีกปี ไม่เพียงเศรษฐกิจพังแน่ แต่ข้าราชการกระทรวงต่างๆ จะยิ่งพากันหันมาหาเสื้อสีแดงสวมใส่มากขึ้นนายอภิสิทธิ์ จึงได้กังวลเรื่องงบประมาณปี 54 มากที่สุด และพยายามต่อรองขอเวลาในการเป็นรัฐบาลต่อไปอีก นานถึง 9 เดือนปัญหาอยู่ที่ว่า
ปัญหาทุจริตงบประมาณของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ช่วงระยะเวลาแค่ปีเศษที่ผ่านมา มันอื้อฉาวจนสังคมขาดความเชื่อถือไปหมดแล้ว ทั้งไทยเข้มแข็ง ทั้งชุมชนพอเพียง... ปากมัน พุงปลื้นไปตามๆกันแบบนี้จะขอเวลา 9 เดือนเพื่อทำงบประมาณอีก... จะให้สังคมไม่ระแวงได้อย่างไรกันเต็มที่แค่ 3 เดือนอย่างที่นักวิชาการเสนอ ก็ถือว่ามากมายแล้ว “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”
...ขอบคุณเนื้อข่าวจาก บางกอกทูเดย์