กรมสรรพากรสั่งอายัดทรัพย์2พี่น้อง"โอ๊ค-เอม" เป็นหุ้นบริษัทต่างๆ 7 แห่ง มูลค่า 12,425 ล้านบาททันทีหลังศาลฎีาฯสั่งยึดทรัพย์แม้ว 46,000 ล้านบาท น้องสาวอ่วมเจอเต็มเปาคนเดียวกว่า 10,000 ล้าน พี่ชายมีแค่จิ๊บจ๊อยแค่ 1,800 ล้านบาท ความคืบหน้ากรณีกรมสรรพากรอายัดทรัพย์สินของนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร
การประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากบุคคลทั้งสองจำนวน 11,809,294,773 บาทจากกรณีที่บุคคลทั้.สองซื้อหุ้นบริษัทชินคอร์ปจำนวน 329.2 ล้านหุ้นจาก บริษัท แอมเพิลริช อินเวสท์เมนท์ จำกัด ในราคาหุ้นละ 1 บาท เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2549 ทำให้ได้ผลประโยชน์จากส่วนต่างราคาหุ้นละ 48.26 บาทถือเป็นเงินได้พึงประเมินของนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทาตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร ที่จะต้องเสียเป็นเงิน 5,904,791,172.29 บาท และ 5,904,503,601.13 บาทตามลำดับ ซึ่งขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลภาษีอากรกลางนั้น
แกะรอยขุมทรัพย์โอ๊ค-เอม สรรพากรอายัดหุ้น7 บริษัทมูลค่า 12,425ล้าน
ผู้สื่อข่าว"มติชนออนไลน์"รายงานเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2553ว่า หลังจากที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษายึดทรัพย์กว่า 46,373 ล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ฐานร่ำรวยผิดปกติแล้ว กรมสรรพากรใช้อำนาจตามประมวลรัษฎากรมาตรา 12 เมื่อวันที่ 2-3 มีนาคม 2553 มีสั่งอายัดหุ้นบริษัทต่างๆจำนวน 7 บริษัทของนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร ทันที มูลค่ารวมกัน 12,425 ล้านบาท แบ่งเป็นของนายพานทองแท้ รวมจำนวน 505,546,093 หุ้น มูลค่า 1,853,460,930 บาท ได้แก่
1.บริษัท เวิร์ธ ซัพพลายส์ จำกัด 99 หุ้น พาร์ 10 บาท มูลค่า 990บาท
1.2 บริษัท เวิร์ธ ซัพพลายส์ จำกัด 200,000,000 พาร์ 5 บาท มูลค่า 1,000,000,000 บาท
2.บริษัท ประไหมสุหรี พร้อมเพอร์ตี้ จำกัด 1,999 หุ้น พาร์ 10 บาท มูลค่า 19,990 บาท
2.1 บริษัท ประไหมสุหรี พร้อมเพอร์ตี้ จำกัด 300,000,000 พาร์ 2.66 บาท มูลค่า 798,000,000 บาท
3.บริษัท วอยซ์ ทีวี จำกัด 5,543,995 หุ้น พาร์ 10 บาท 55,439,950 บาท
นางสาวพินทองทา ชินวัตร รวมจำนวนรวม 1,154,367,977 หุ้น 10,571,479,770 บาทได้แก่
1.บริษัท พี.ที.คอร์ปอเรชั่น จำกัด 41,992,999 หุ้น พาร์ 10 บาท มูลค่า 419,929,990 บาท
1.1 บริษัท พี.ที.คอร์ปอเรชั่น จำกัด 300,000,000 หุ้น พาร์ 7.66 บาท มูลค่า 2,298,000,000.00
2.บริษัท เอสซี ออฟฟิศ พลาซ่า จำกัด 209,985,000 หุ้น พาร์ 10 บาท มูลค่า 2,099,850,000 บาท
3.บริษัท เวิร์ธ ซัพพลายส์ จำกัด 235,939,999 หุ้น พาร์ 10 บาท มูลค่า2,359,399,990 บาท
4.บริษัท เอส ซี เค เอสเทต จำกัด 211,999,979 หุ้น พาร์ 10 บาท มูลค่า 2,119,999,790 บาท
5.บริษัท โอเอไอ เอ็ดดูเคชั่น จำกัด 67,500,000 หุ้น 10 บาท มูลค่า 675,000,000บาท
5.1 บริษัท โอเอไอ เอ็ดดูเคชั่น จำกัด 70,000,000 หุ้น พาร์ 6.14 บาท มูลค่า 429,800,000 บาท
6.บริษัท ประไหมสุหรี พร้อมเพอร์ตี้ จำกัด 16,950,000 หุ้น พาร์ 10 บาท มูลค่า 169,500,000 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม้จำนวนมูลค่าหุ้นจะครอบคลุมกับจำนวนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่บุคคลทั้งสองถุกเรียกเก็บแล้ว
แต่เนื่องจากล่วงเลยระยะเวลาการชำระภาษีมาตั้งแต่สิ้นมีนาคม 2550 ทำให้ต้องมีเบี้ยปรับเงิน เงินเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง ทำให้กรมสรรพากรต้องหาทางยึดทรัพย์สินของบุคคลทั้งสองเพิ่มโดยเฉพาะบัญชีเงินฝากในธนาคารต่างๆที่เหลือจากการยึดทรัพย์ 46,000 ล้านบาทจนกว่าคดีจะถึงที่สุดโดย
ทั้งนี้ ตามคำร้องของนายพานทองแท้และน.ส.พิณทองทาที่ยื่นคัดค้านการยึดทรัพย์ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระบุว่า นายพานทองแท้มีทรัพย์สินที่ได้จากการขายหุ้นชินคอร์ปฝากอยู่ในธนาคารต่างๆ เป็นเงิน 17,150,292,534 บาท ขณะที่น.ส.พิณทองทามีเงินฝากอยู่ 23,529,837,028.60 บาท